12 กันยายน 2560 : นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง กระทรวงการคลังมีความเป็นห่วงและแจ้งไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.แล้ว เพราะค่าเงินบาทขณะนี้ถือว่าแข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค ซึ่ง ธปท.รับทราบข้อห่วงใยดังกล่าวแล้ว และกำลังมีมาตรการแก้ไข อย่างไรก็ตาม คาดว่าค่าเงินบาทแข็งคงมีผลกระทบต่อภาคการส่งออกไม่มากจนกระทบกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้
“แม้กระทรวงการคลังจะไม่ได้ดูแลเรื่องค่าเงินบาทโดยตรง แต่ได้ออกมาตรการสนับสนุนเพื่อช่วยลดแรงกดดันเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป โดยผ่อนผันให้นิติบุคคลต่างประเทศที่ออกพันธบัตร หรือ หุ้นกู้ที่เป็นสกุลเงินบาท หรือ บาทบอนด์ ในประเทศไทยสามารถแลกกลับเป็นเงินตราต่างประเทศนำเงินออกไปใช้ในต่างประเทศได้ เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อช่วยบรรเทาไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งและช่วยให้เกิดความสมดุลในปริมาณการไหลเข้าออกของเงินทุน
ดร.สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ใช้นโยบายการคลังเพื่อดูแลภาพรวมเศรษฐกิจให้สามารถขยายตัวได้ดีขึ้น โดยไตรมาสแรกปีนี้เศรษฐกิจเติบโตได้ 3.5% ไตรมาสสองขยายตัวได้ 3.7% ส่วนระยะต่อไปนั้น กระทรวงการคลังจะใช้นโยบายการคลังจากการขาดดุลงบประมาณปี 2561 และให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจช่วยดูแลการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าอย่างทั่วถึง แต่จะไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเข้ามาสนับสนุนเศรษฐกิจในขณะนี้
ต้องการให้นโยบายการเงินนโยบายการคลังไปในทิศทางเดียวกัน โดยหากธปท.มีช่องสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ ก็น่าจะปรับลดลง เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตเต็มที่ สิ่งที่กระทรวงการคลังต้องการเห็น คือ ความร่วมมือของภาคเอกชนในการช่วยฟื้นเศรษฐกิจ เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยภาคเอกชนผ่านการลงทุนและการบริโภคจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่าการใช้จ่ายของภาครัฐ แต่ที่ผ่านมา เอกชนยังไม่ให้ความร่วมมือในการลงทุนแม้ว่าจะมีมาตรการจูงใจโดยเฉพาะเรื่องของการลดหย่อนภาษี
