12 กันยายน 2560 : ช่วงอาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมา หุ้นไทยดูคึกคักไม่น้อย หลังจากดัชนีหุ้นไทยได้รับฉายาเนินนานนับตั้งแต่ต้นปี 60 ว่า “คุณปู่ set “ ที่เดินแบบเนิบๆแบบช้าๆ จนนักลงทุนสถาบันอย่างกองทุนไทย ถึงกับออกมาแนะนำการลงทุนแแบบกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดทุนต่างประเทศ เป็นหลัก เนื่องจากตลาดหุ้นนอกต่างกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นกว่าตลาดหุ้นไทย แต่เมื่อช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์ที่ผ่านมา “ปู่ Set” กลับมากระชุมกระชวยเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง หลังจากดัชนีไม่เคยขยับแตะ 1,600 จุดเลย ทำท่าได้เพียงแค่ขยับไปใกล้ๆเท่านั้น
แต่ในที่สุดคุณปู่ไม่รู้ได้ยาดีจากไหน ดัชนีทะลุ 1,600 จุดอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนที่คิดจะซื้อกองทุนหุ้นที่ลดหย่อนภาษีอย่าง LTF และ RMF ถึงกลับร้องเสียงหลง “พลาดอีกแล้ว” เพราะหลายคนคิดว่าดัชนีหุ้นไทยไม่น่าจะขยับไปไหน ซื้อ LTF และ RMF เมื่อไหร่ก็ได้ยังไงก็ได้ของถูก แต่ไม่คิดว่าดัชนีหุ้นไทยจะขยับทะลุ1,600 จุด คนที่ยังไม่ได้ซื้อ LTF และ RMF ถึงกลับเอามือก่ายหน้าผาก อย่างไรก็ตาม การลงทุน LTF และ RMF ที่ยังไม่ลงทุนก็ยังคงต้องลงทุนต่อไป เพียงแต่รอจังหวะให้ดัชนีปรับฐานเป็นหลัก ส่วนมือใหม่ที่เริ่มจะซื้อกองทุน LTF และ RMF เพื่อใช้ลดหย่อนภาษี โดยเฉพาะ LTF ยังสามารถเลือกลงทุนได้เพียงใช้หลักการเลือกกองทุนดังกล่าว จากผลตอบแทนย้อนหลังในการตัดสิ้นใจ
นายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ นักวิเคราะห์กองทุน ประจำประเทศไทย บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ซ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การลงทุนใน LTF และ RMF ซึ่งในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา นักลงทุนมักจะขายทำกำไรเป็นหลัก จากผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากการลงทุนตลอดเวลาที่ผ่าน ประกอบกับสถานการณ์การลงทุนที่ตลาดยังมีความผันผวนอยู่ ส่งผลให้ปิดครึ่งแรกของปี LTF มีเงินไหลออกสูงมากเป็นอันดับ 2 ตลอดกาลที่ประมาณ 15,200 ล้านบาท ในขณะที่ RMF หลังจากที่มีการขายสุทธิออกค่อนข้างมากผิดปกติในไตรมาสแรกก็เริ่มมีนักลงทุนซื้อกลับเข้ามาบ้างเล็กน้อยในไตรมาสที่สอง
ส่งผลให้ปิดครึ่งปีแรกมีเม็ดเงินไหลเข้ากลับมาเป็นบวกได้ที่ 13 ล้านบาท แต่ก็ยังถือว่าเป็นยอดที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของทั้ง LTF และ RMF ยังมีแนวโน้มในการเติบโตดี เชื่อว่าแรงขายจากนักลงทุนที่ตั้งใจอยากจะขายกองทุนทั้ง 2 ประเภทนี้ น่าจะลดลงจนเกือบหมดแล้ว หลังจากนี้ในครึ่งหลังของปีน่าจะมีแต่กำลังซื้อทยอยกลับเข้ามา โดยเฉพาะช่วงเดือนสุดท้ายของปี จบครึ่งปีแรก 2560 LTF มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 330,809 ล้านบาท และ RMF มีอยู่ 219,302 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย ข้อมูล ณ วันที่ 18 ส.ค. 60 ของมอร์นิ่งสตาร์ พบว่า กองทุน LTF ที่มีผลตอบแทนสูงจากช่วงปี 2559 (YTD) 10 อันดับแรกของอุตสาหกรรม โดยกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวแอ็คทีฟ SET50 ปันผล บลจ.กรุงศรี ทำผลตอบแทนสูงจากช่วงปี 2559 (YTD) สูงเป็นอันดับ 1 ที่ 8.31% 2.กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวปันผล บลจ.กรุงศรี YTD 7.31% 3.กองทุนเปิด Big Cap ปันผล หุ้นระยะยาว BIG CAP-D LTF บลจ. ยูโอบี YTD ที่ 7.24%
4.กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ไลฟ์ หุ้นระยะยาว บลจ.ซีไอเอ็มบีฯ YTDที่ 6.63% 5.กองทุนเปิด JUMBO 25 ปันผล หุ้นระยะยาวJB25 LTF บลจ.ทหารไทย YTD ที่ 6.31% 6. กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวอิควิตี้ KFLTFEQ บลจ.กรุงศรี YTD ที่ 5.77% 7. กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวไทยสมอล-มิดแคปปันผลKFLTFTSM-D บลจ.กรุงศรี YTDที่ 5.70% 8.กองทุนเปิดเค Mid Small Cap หุ้นระยะยาว บลจ.กสิกรไทย YTDที่ 5.66% 9. กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผลKDLTF บลจ.กสิกรไทย YTD ที่ 5.55% และ 10.กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวปันผล 70/30 บลจ.กรุงศรี YTDที่ 5.48%
ส่วนภาพตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์นี้ (11-15 ก.ย.60) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย ระบุว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,625 และ 1,615 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,645 และ 1,660 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การตอบสนองของตลาดต่อท่าทีผู้นำประเทศเกาหลีเหนือในวันชาติที่จะถึงวันเสาร์นี้ (9 ก.ย.) รวมถึงทิศทางเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค, ยอดค้าปลีก ตลอดจนดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนส.ค. ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ อาทิ รายงานนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ, ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนส.ค. ของหลายประเทศในยุโรป และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค.ของกลุ่มยูโรโซนและจีน
ดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นปลายสัปดาห์ โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,635.61 เพิ่มขึ้น 1.60% จากสัปดาห์ก่อน มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลงประมาณ 1.58% จากสัปดาห์ก่อน มาที่ 56,818.38 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ mai ปิดที่ 560.38 จุด เพิ่มขึ้น 1.85% จากสัปดาห์ก่อน
ดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ โดยพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดของสัปดาห์ที่ 1,647.54 จุด ช่วงปลายสัปดาห์ จากแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร