5 กันยายน 2560 : นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เปิดเผยถึงการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จะเป็นเครื่องมือให้การพัฒนาประเทศมีความต่อเนื่อง สามารถเตรียมการล่วงหน้าไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต เพราะการคาดการณ์ภาวะล่วงหน้านั้นเป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ที่มีการดำเนินการกันอยู่โดยทั่วไป ทั้งในภาคธุรกิจและการกำหนดนโยบายของภาครัฐทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว อาทิ การวิเคราะห์ถึงแนวโน้มอนาคตการพัฒนาเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแข่งขันในตลาด การรวมตัวและการตกลงทางการค้า และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เป็นต้น
การมียุทธศาสตร์ชาติและกำหนดวิสัยทัศน์ประเทศไทยในระยะยาว จะเป็นเครื่องมือให้การพัฒนามีความต่อเนื่อง สามารถเตรียมการล่วงหน้าไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต คนในชาติมองเห็นเป้าหมายในอนาคตร่วมกัน และช่วยเป็นกรอบในการจัดทำแผนต่าง ๆ ให้เกิดการปฏิบัติที่สอดคล้องและบูรณาการกัน ส่งผลให้การบริหารราชการแผ่นดินและการใช้งบประมาณแผ่นดินมีประสิทธิภาพ ขณะนี้มีหลายประเทศที่มีการกำหนดเป้าหมายและแผนระยะยาวของประเทศหรืออยู่ระหว่างการจัดทำให้มีขึ้น ขณะที่การแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คำนึงถึงความหลากหลายของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและความหลากหลายของช่วงอายุ
ทั้งนี้ ในมาตรา 12 วงเล็บ 5 พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ กำหนดให้ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นกรรมการ
ส่วนการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 17 คน มาตรา 12 วงเล็บ 6 ของ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ให้คำนึงถึงความหลากหลายของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและความหลากหลายของช่วงอายุด้วย ทั้งนี้องค์ประกอบของกรรมการที่มีผู้แทนจากหลายภาคส่วนทั้งจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน มีอยู่ในกลไกคณะกรรมการต่างๆ ของภาครัฐอยู่เป็นปกติอยู่แล้วไม่ต่างกับกรรมการระดับชาติอื่นๆ
นอกจากนั้น มาตรา 8 ในกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติก็เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ เพื่อให้ได้รับข้อมูลความเห็นและความต้องการจากทุกภาคส่วนประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติมีความยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์
อีกทั้ง ตามมาตรา 11 ของ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ กำหนดให้คณะกรรมการจัดให้มีการทบทวนยุทธศาสตร์ชาติทุก 5 ปี หรือในกรณีที่สถานการณ์ของโลกหรือสถานการณ์ของประเทศเปลี่ยนแปลงไปจนไม่สามารถหรือไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการตามเป้าหมายหรือยุทธศาสตร์ด้านหนึ่งด้านใดได้ หากคณะกรรมการเห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ให้คณะกรรมการขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนดำเนินการ ซึ่ง พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ กำหนดเป็นขั้นเป็นตอนของการติดตาม ตรวจสอบ และการประเมินผล
ทั้งนี้ ตามมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ กำหนดว่ายุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนต่างๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกัน อันจะก่อให้เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกันไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งจะต้องไม่น้อยกว่า 20 ปี บนหลักการและแนวคิดที่สำคัญคือ
1.การดำเนินงานตามแผนพัฒนา/แผนปฏิบัติงาน หรือแผนงานใด ๆ ก็ตามต้องมีการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ และเพื่อที่จะนำผลการติดตามและประเมินมาปรับแผนหรือปรับแนวทางการดำเนินงานให้ตรงและสอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องบรรลุได้อย่างแท้จริงไม่บิดเบือน ดังนั้น ภายใต้หลักการและแนวคิดข้อนี้ก็ถือว่าเป็นการกำหนดตามหลักการและแนวทางการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของภาครัฐที่ต้องดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน
2.การกำหนดให้การติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลอย่างเป็นขั้นตอน โดยที่ในแต่ละขั้นตอนได้กำหนดเป็นระยะเวลาให้ได้ดำเนินการและรายงานอย่างเหมาะสม รวมทั้งสามารถมีข้อเสนอแนะเพื่อการแก้ไขปรับปรุงที่จะสนับสนุนให้สามารถดำเนินงานให้สอดคล้องและเกิดความก้าวหน้าได้
และ 3.ในกรณีที่การดำเนินงานไม่สอดคล้องกับกรอบกว้าง ๆ ของยุทธศาสตร์ชาติหรือหลีกเลี่ยงที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบที่กำหนด พ.ร.บ.ได้กำหนดมาตราต่าง ๆ ไว้รองรับให้เกิดขั้นตอนของการพิจารณาอย่างระมัดระวัง/รอบคอบ และเปิดช่องทางให้สามารถชี้แจงและปรับปรุงแก้ไขได้ อย่างไรก็ดี การติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลในปัจจุบันนับว่ายังขาดประสิทธิภาพและไม่สามารถทำให้เกิดความรับผิดรับชอบที่เหมาะสมได้ โดยเฉพาะในการดำเนินเรื่องสำคัญๆ ที่จะผลักดันให้ประเทศไปสู่เป้าหมายที่ควรจะเป็น กระบวนที่กำหนดตาม พ.ร.บ.นี้จึงเป็นแนวทางที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของการติดตามผลการดำเนินงาน และสนับสนุนให้การดำเนินงานสามารถเกิดประสิทธิผลได้อย่างแท้จริง