18 สิงหาคม 2560 : ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยถึง ทิศทางการดำเนินงานในปี 2560 บริษัทฯยังคงเป้าหมายเบี้ยประกันรับรวมที่ 17,200 ล้านบาท เติบโตประมาณ 6-7% เมื่อเทียบกับปี 2559 โดยจะให้ความสำคัญกับการรักษาฐานงานต่ออายุ ควบคู่ไปกับการขยายงานใหม่ ขณะเดียวกันบริษัทไม่เน้นการแข่งขันด้านราคา แต่จะคำนึงถึงหลักดุลยภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยมีการนำฐานลูกค้าที่มีอยู่มาวิเคราะห์ เพื่อการตัดสินใจในการกำหนดความคุ้มครองและอัตราอัตราเบี้ยประกันภัยที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า
นอกจากนี้ บริษัทมีนโยบายขยายงานในผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่พนักงานมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ เช่น ประกันภัยมารีน ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก ประกันภัย D&O การประกันภัยสินเชื่อทางการค้า ทั้งนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการ ดังนี้
1.เปิดสาขาใหม่ 3 สาขา ที่ จ.ลำปาง จ.สมุทรสาคร และ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งจะทำให้บริษัทมีสาขาทั้งหมด 37 สาขา และมีจุดบริการด้านประกันภัยในห้างสรรพสินค้ารวม 25 แห่ง และ
บริษัทไม่ได้กำหนดเม็ดเงินสำหรับการลงทุนในต่างประเทศไว้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับโอกาสในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งขณะนี้บริษัทมีแผนที่จะไปลงทุนในพม่าร่วมกับพันธมิตร
2.ขยายงานด้าน Digital Marketing อย่างจริงจัง ทำการเชื่อมโยงระบบการขายผ่าน Online Aggregators ต่างๆ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีประกันภัยเข้ามาเสริมสร้างการให้บริการลูกค้า และคู่ค้า เช่น พัฒนาฟังก์ชั่นบน Telematics รองรับลูกค้ากลุ่มโลจิสติกส์ รถเช่า, มีการวางแผน นำโดรน (Drone) เข้ามาใช้สำรวจภัยในจุดที่อันตรายเข้าถึงยาก นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ คือ Digital Innovation Division เพื่อดูแลด้านช่องทางการจำหน่ายและวางแผนผ่านดิจิตอลโดยเฉพาะ รวมถึงพัฒนา BKI EsCard ลูกค้าสามารถทำการต่ออายุกรมธรรม์ และแจ้งเคลมออนไลน์ได้ เป็นต้น
“นอกจากแผนงานในข้างต้นที่จะหนุนเบี้ยรับรวมของบริษัทให้โตตามเป้าแล้ว โครงการภาครัฐก็จะเป็นอีกตัวที่ช่วยหนุนด้วย แม้ว่าจะมีบางโครงการที่เลื่อนออกไป แต่ก็มีบางโครงการที่จะเร่งทำในครึ่งปีหลัง ซึ่งแต่ละโครงการที่บริษัทเข้าไปร่วมรับประกันจะเพิ่มเบี้ยให้ประมาณ 25-30% ขณะเดียวกัน จะมีรายได้จากการประกันของสายการบินที่จะบุ๊คในครึ่งปีหลังด้วย แม้จะเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้บริษัทโตได้ตามเป้า” ดร.อภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนของปี 60 บริษัท มีเบี้ยประกันรับรวม 7,978.1 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 มีกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่าย ในการดำเนินงานแล้ว 716.6 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.5 รายได้สุทธิจากการลงทุน 742.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.5 มีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 1,459.5 ล้านบาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,287.0 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2559 ร้อยละ 0.3 และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 12.09 บาท
ทางด้าน นายพนัส ธีรวณิชย์กุล กรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีพอร์ตลงทุนทั้งสิ้น 47,000 ล้านบาท (ตามมูลค่าตลาดฯ) โดยจะมุ่งเน้นสัดส่วนลงทุนไปที่พันธบัตร เงินฝาก ในสัดส่วนที่มากกว่ากลุ่มอื่น รองลงมา คือ หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนมากจะเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ และลงทุนในระยะยาว จะเห็นได้จากกำไรจากการลงทุนในหุ้นของบริษัทจะได้รับในรูปแบบของเงินปันผล ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนตัวหุ้นบ้างในบางจังหวะและเวลาที่เหมาะสม
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายว่าในปีนี้ จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 3.8% ขณะที่ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน 2.9% อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ตลาดหุ้นค่อนข้างผันผวนมาก ดังนั้น เมื่อยังไม่มีความต้องการใช้เงิน บริษัทจะถือหุ้นที่มีอยู่ในพอร์ตต่อไปก่อน
ส่วนภาพรวมแนวโน้มธุรกิจประกันวินาศภัยช่วงครึ่งหลังของปี 2560 โดยคาดว่า ตลาดยังคงมุ่งการขยายงานลูกค้ารายย่อย โดยเฉพาะประกันภัยรถยนต์ยังเป็นเป้าหมายหลักทางการแข่งขันของบริษัทประกันภัย โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นในปี 2560 จากที่หดตัวต่อเนื่อง 4 ปี คาดว่าการขยายงานประกันภัยรถยนต์ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ นอกเหนือจากการแข่งขันด้านราคาแล้ว บริษัทประกันภัยน่าจะมุ่งขยายงานในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อยู่ในภาคการเกษตร และธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทประกันภัยต่างๆ มีแนวโน้มการแข่งขันด้านคุณภาพในการให้บริการงานประกันภัยและสินไหมทดแทน โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ตลอดจนเพื่อการควบคุมค่าใช้จ่าย โดยมีการพัฒนา Application บน Smartphone ให้มีฟังก์ชั่นที่หลากหลายและครอบคลุมการให้บริการมากยิ่งขึ้น จากเริ่มแรกที่เน้นการแจ้งเคลมเป็นหลัก โดยเพิ่มการให้บริการทั้งเรื่องการตรวจสภาพรถยนต์ออนไลน์ การต่ออายุกรมธรรม์ การชำระค่าเบี้ยประกันภัย และการพัฒนาให้ผู้เอาประกันภัยสามารถกำหนดช่วงเวลาคุ้มครองแบบ Tailor Made ตามพฤติกรรมการขับขี่หรือระยะเวลาในการใช้รถยนต์ของตนเองได้ เพื่อการประหยัดค่าเบี้ยประกันภัย
ขณะที่ นายชัย โสภณพนิช ที่ปรึกษาด้านกิจการต่างประเทศ ประธานกรรมการ มูลนิธิกรุงเทพประกันภัย กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ เข้าไปร่วมลงทุนกับพันธมิตร (Joint Venture) ได้แก่ ประเทศกัมพูชา ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ประมาณ 35% ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ซึ่งที่ผ่านมาทำรายได้ให้กับบริษัทค่อนข้างมาก ส่วนที่ลาวบริษัทถือหุ้นอยู่ 45% โดยขณะนี้ยังไม่รับรู้ด้านกำไร เนื่องจากเพิ่งเริ่มดำเนินธุรกิจ คาดว่าจะเริ่มเห็นผลกำไรในช่วงปี 61 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในพม่าร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ เอเชีย อินชัวรันส์ กรุ๊ป และเซ็นทรัล อินชัวรันส์ อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้กำหนดเม็ดเงินลงทุนในต่างประเทศ เพราะขึ้นอยู่กับจังหวะ และโอกาสเนื่องจากพม่าเพิ่งจะเริ่มเปิดประเทศให้เข้าไปลงทุนมากขึ้น ส่วนกำไรที่ได้จากการลงทุนในต่างประเทศยังไม่มากนัก เพราะขนาดของธุรกิจยังไม่ใหญ่” นายชัย กล่าว
ส่วนทางด้าน นายอานนท์ วังวสุ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพประกันภัย กล่าวถึง สถานการณ์น้ำท่วมทางภาคอึสานว่า มียอดรถยนต์ที่เสียหาย 56 คัน ความเสียหายโดยรวมประมาณ 10 ล้านบาท ทางด้านประกันภัย Non-motor มีผู้ที่ได้รับความเสียหาย 60 ราย คิดเป็นมูลค่าที่เสียหาย 55 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกรมธรรม์บ้านอยู่อาศัยรายย่อย ส่วนรายใหญ่ก็มีสาขาธนาคารกรุงเทพเสียหาย 4 สาขา โรงแรม 2 แห่ง และโรงสีข้าว 2 แห่ง
อย่างไรก็ดี ทางด้านพื้นที่ปลูกข้าวทั้งประเทศมีประมาณ 60 ล้านไร่ เป็นลูกค้าของ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส.ประมาณ 25-30 ล้านไร่ มีพื้นที่นาเสียหายประมาณ 4 ล้านไร่ ในส่วนนี้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. 2 ล้านไร่ สรุปคาดว่าเสียหายจริงประมาณ 1 ล้านไร่ ซึ่งคาดว่าอัตราส่วนความเสียหายประมาณ 60-70% หรือเสียหายประมาณ 1,000 ล้านบาท เทียบจากเดิมที่เสียหายมีเพียง 30-40% ซึ่งบริษัทฯ ได้รับความเสียหายประมาณ 5% ตามสัดส่วนเบี้ยประกันภัยที่รับมา ทั้งนี้ จากความเสียหายดังกล่าว คงยังไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกัน เพราะถือว่ายังเร็วไป