17 สิงหาคม 2560 : นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของสายงานธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการหรือเอสเอ็มอี ในช่วงครึ่งแรกปี 2560 ของธนาคารกสิกรไทย มียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 679,000 ล้านบาท เติบโต 3% จากสิ้นปี 2559 จากเป้าหมายทั้งปีที่คาดว่าจะโต 4-6% มีรายได้รวมที่ 21,500 ล้านบาท
ในครึ่งหลังปี 2560 ธนาคารวางกลยุทธ์สนับสนุนลูกค้าใน 4 ด้าน คือ สนับสนุนทางการเงิน มุ่งเน้นการดูแลลูกค้าในทุกห่วงโซ่ธุรกิจ (Value Chain) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ การบริโภคและบริการ อุตสาหกรรมหนักและการส่งออก และโครงสร้างพื้นฐาน/พลังงานและการขนส่ง เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอีที่อยู่ห่วงโซ่ธุรกิจมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อ และได้รับความสะดวกในการบริหารจัดการด้านการเงินทั้งขารับและขาจ่าย
โดยในครึ่งแรกปี 2560 ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างของ Value Chain อยู่ที่ 61,300 ล้านบาท จากลูกค้าที่เป็นเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลางกว่า 1,500 กลุ่ม
นอกจากนี้ยังสนับสนุนเอสเอ็มอีให้เข้าถึงสินเชื่อภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน ของ บสย. โดยธนาคารจะรับภาระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันแทนลูกค้าอัตรา 1.75% ใน 4 ปีแรก ซึ่งจากการเปิดโครงการไปเพียง 1 สัปดาห์ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่สนใจขอสินเชื่อมาแล้วถึง 1,000 ล้านบาท
ด้านเครือข่ายเอสเอ็มอี การเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นสิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยมีกลุ่มผู้ประกอบการสมาชิก K SME Care กว่า 13,000 คน ได้แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ สร้างสัมพันธ์ และเกิดการซื้อขายกันระหว่างนักธุรกิจทุกภูมิภาค โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 1,500 ล้านบาท พร้อมทั้งร่วมกับกลุ่มพันธมิตรของธนาคารทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงกลุ่มเครือข่ายของธนาคารที่อยู่ในท้องถิ่นทั่วประเทศอีกกว่า 200 หน่วยงาน ร่วมกันสนับสนุนและส่งเสริมในการต่อยอดทางธุรกิจ สร้างโอกาสขยายตลาด และเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี
ด้านดิจิทัลแบงกิ้ง พัฒนานวัตกรรมการเงินที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจเอสเอ็มอี ได้แก่ Food Solution ระบบบริหารจัดการร้านอาหารที่เชื่อมต่อระบบการจ่ายเงินและระบบบัญชี K PLUS SME ธนาคารบนมือถือเพื่อธุรกิจเอสเอ็มอี และบริการหนังสือค้ำประกันบนอินเตอร์เน็ต (K CONNECT-LG) เป็นบริการที่ครอบคลุมทุกเรื่องเกี่ยวกับ LG ผ่านออนไลน์ ซึ่งบริการต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เอสเอ็มอีสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างคล่องตัวในยุคไทยแลนด์ 4.0 และในครึ่งปีหลังธนาคารมีแผนที่จะพัฒนาเครื่องมือการเงินใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ในแต่ละธุรกิจมากขึ้น
และด้านองค์ความรู้ พัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบในการสนับสนุนด้านองค์ความรู้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่เสมอ ทั้งการจัดงานสัมมนาเพื่อให้เรียนรู้ตลาดใหม่ๆ และการพัฒนาธุรกิจให้ทันยุค 4.0 การให้คำปรึกษาธุรกิจแบบ 1 on 1 รวมถึงการให้ความรู้ผ่านสื่อดิจิทัลเพื่อให้ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป
นายสุรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในครึ่งหลังปี 2560 เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว โดยธุรกิจที่น่าจับตามอง คือ ธุรกิจส่งออก ที่ขยายตัวตามเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ธุรกิจก่อสร้าง ที่ได้รับอานิสงค์จากการใช้จ่ายภาครัฐที่จะเร่งการเบิกจ่ายก่อนปิดปีงบประมาณในเดือน ก.ย.นี้ และธุรกิจท่องเที่ยว ที่ปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวเกือบทุกสัญชาติที่กลับมาขยายตัวได้ดี และยังคงตั้งเป้าเป็นผู้นำอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งตลอดสินเชื่อเอสเอ็มอี 28% และมีเครือข่ายธุรกิจเอสเอ็มอีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย