1 สิงหาคม 2560 : นายณัฐพงศ์ บุญเย็น ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการภาค 2 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่าจากวิกฤตอุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดสกลนครประสบความเสียหายมากที่สุด ซึ่งสมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้ประเมินความเสียหายในเบื้องต้นประมาณ 1,000 ล้านบาท
โดยความเสียหายที่มีการทำประกันภัยไว้ สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มรถยนต์ซึ่งคาดว่าน่าจะเสียหายจากการถูกน้ำท่วมประมาณ 800 คัน กลุ่มพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะประกันภัยนาข้าว ทางสำนักงาน คปภ.ได้ประกาศออกมาแล้วมีความเสียหาย 23,331 ไร่ และกลุ่มสุดท้ายคือ ที่อยู่อาศัย ร้านค้า อาคารสำนักงาน ซึ่งยังไม่สามารถประเมินได้ เพราะต้องประเมินจากการแจ้งเคลมความเสียหายจากผู้เอาประกันภัย
สำหรับภัยที่ บมจ.วิริยะประกันภัย รับประกันภัยเอาไว้ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ และคาดว่าน่าจะประสบภัยน้ำท่วมไม่ต่ำกว่า 200 คัน
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลล่าสุดที่ได้รับแจ้งจากผู้เอาประกันภัย ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2560 มีจำนวนทั้งสิ้น 144 คัน โดยส่วนใหญ่สามารถกู้ขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนรถยนต์ที่ยังไม่สามารถกู้ได้ส่วนใหญ่จะจมอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองหรือที่เรียกกันว่าสะดือของเมือง ซึ่งในพื้นที่บริเวณนี้น้ำยังสูงมาก แต่คาดว่าน่าจะดำเนินการกู้ได้ภายใน 1-2 วันนับแต่นี้
นายณัฐพงศ์กล่าวต่อไปอีกว่า การปฏิบัติการช่วยเหลือรถยนต์ถูกน้ำท่วมจำนวนมากอย่างนี้ ได้ดำเนินการไปตามโมเดลที่เรียกว่า “ปฏิบัติการ First Aid” เป็นระบบการกู้และซ่อมแซมรักษารถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมจากการเกิดอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดของประเทศเมื่อปี 2554 และได้มีการพัฒนากระบวนการทำงานอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่ภาคใต้เมื่อปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าอุทกภัยจะเกิดขึ้นที่ไหนและมีรถยนต์เสียหายจำนวนมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ศูนย์ปฏิบัติการสินไหมทดแทนสามารถทำงานได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการสั่งการ ตลอดไปถึงการส่งทีมงานจากส่วนกลางเข้าไปช่วย
“เป็นความพร้อมที่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นจิตสำนึกของทุกภาคส่วนที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในระบบ First Aid ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารในพื้นที่ พนักงาน ตัวแทน นายหน้า ศูนย์ซ่อมรถยนต์มาตรฐาน และคู่ค้า ดังเห็นได้จากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในจังหวัดสกลนคร เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏขึ้นว่าเกิดความเสียหายจำนวนมาก ทางเครือข่ายรถยกในสังกัดวิริยะประกันภัยที่อยู่ในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงก็เตรียมความพร้อมทันที และสามารถเข้าถึงพื้นที่จังหวัดสกลนครในชุดแรกได้ถึง 14 คัน
ในขณะเดียวกันทางผู้บริหารศูนย์ปฏิบัติการสินไหมทดแทนสกลนคร ได้ประสานไปยังตัวแทน นายหน้า ศูนย์ซ่อมมาตรฐานวิริยะประกันภัย และบรรดาคู่ค้า รวมไปถึงพันธมิตรทางการค้า อาทิ สถานตรวจสภาพรถยนต์ และดีลเลอร์ เพื่อสำรวจว่ามีพื้นที่ที่สามารถรองรับการนำรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมได้หรือไม่ มากน้อยขนาดไหน ในขณะที่ทีมช่างซ่อมรถยนต์จากศูนย์ซ่อมฯ และจากดีลเลอร์ก็เตรียมความพร้อมและสามารถกระจายกำลังพลไปดำเนินการฟื้นสภาพหรือซ่อมแซมในเบื้องต้นตามจุดต่างๆ ที่กำหนดไว้ได้ทันที
อีกทั้งการเข้าไปกอบกู้รถยนต์ที่ถูกน้ำท่วม บริษัทฯ ไม่ได้ตีกรอบความช่วยเหลือเฉพาะรถยนต์คันที่เอาประกันภัยกับบริษัทฯ เท่านั้น แต่เข้าไปช่วยทุกคันตามที่ได้มีการแจ้งเข้ามาให้เข้าไปช่วยเหลือ รวมถึงให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยรายทางอีกด้วย” นายณัฐพงศ์กล่าว
นายณัฐพงศ์กล่าวต่อไปอีกว่า หัวใจหลักของระบบ First Aid อยู่ที่ความรวดเร็วในการฟื้นฟูหรือซ่อมแซม เพื่อไม่ให้ความเสียหายขยายตัวไปมากกว่าเดิม นำรถออกจากน้ำให้เร็วที่สุด เปลี่ยนระบบน้ำมันหล่อลื่นภายในรถยนต์ทันที และทำให้ตัวถังและอุปกรณ์ภายในแห้งโดยเร็วที่สุด ซึ่งในการนี้ต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญเฉพาะด้านเท่านั้น โดยทางดีลเลอร์ได้จัดส่งช่างผู้มีความรู้ ความชำนาญ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทีมดูแลรถที่ถูกน้ำท่วมในครั้งนี้ด้วย
ส่วนขั้นตอนการทำงานจะเหมือนกับไลน์ผลิตรถยนต์ ในขณะที่การประเมินความเสียหายที่ต้องดำเนินการไปตามขั้นตอนของการเคลมประกันภัย อาทิ การตรวจสอบหลักฐานว่าอยู่ในเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยครบถ้วนเพียงใด จะเป็นเรื่องที่ดำเนินการในภายหลัง หรืออย่างน้อยๆ ต้องผ่าน 2 ขั้นตอนแรกไปก่อน คือการนำเอารถออกจากพื้นที่น้ำท่วมและการเปลี่ยนถ่ายระบบน้ำมันหล่อลื่นภายใน
“มีรถยนต์หลายคันที่กู้ขึ้นมาและเข้าสู่ระบบการฟื้นฟูหรือซ่อมแซมในเบื้องต้นไปแล้ว แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการเคลมประกันภัยก็พบว่าไม่ได้ทำประกันภัยไว้กับบริษัทฯ หรือเป็นการประกันภัยประเภทอื่นที่ไม่มีความคุ้มครองภัยน้ำท่วม ซึ่งในกรณีนี้บริษัทฯ ก็ยินดีที่จะให้คำปรึกษาและแนะนำถึงกระบวนการต่อไปว่าควรทำอย่างไรกับสภาพความเสียหายจริงที่เกิดขึ้น”นายณัฐพงศ์ กล่าว