19 กรกฎาคม 2560 : นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เปิดโปรเจกต์ใหญ่แห่งปี “Premier Health Solutions” ด้วยแนวคิดที่จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้านการดูแลสุขภาพ ผ่านนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ และบริการที่หลากหลาย ทั้งด้านการป้องกัน (Prevention) และการดูแลสุขภาพ (Care) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในทุกช่วงชีวิต
ทั้งนี้จากแนวคิด “Premier Health Solutions” ได้นำมาสู่การเปิดตัว 2 โครงการสุขภาพจาก Fuchsia Innovation Centre ของเมืองไทยประกันชีวิต โดยโครงการแรก ได้เปิดตัว “myTHAIDNA” มิติใหม่ของการดูแลตัวเองผ่านการตรวจ DNA ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่สามารถช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น
โดย “myTHAIDNA” เป็นการร่วมมือระหว่างเมืองไทยประกันชีวิต และ บริษัท Prenetics ในการให้บริการตรวจ Nutrigenomics หรือ โภชนพันธุศาสตร์ ที่สามารถบอกถึงความต้องการด้านโภชนาการ สารอาหารที่ร่างกายตอบสนอง และการออกกำลังกายที่เหมาะเฉพาะตัว ซึ่งการตรวจ DNA เป็นการตรวจเพียงครั้งเดียวเพราะผล DNA หรือรหัสพันธุกรรมเฉพาะของแต่ละบุคคลนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต การเก็บตัวอย่าง DNA สามารถทำได้เองที่บ้านด้วยวิธีง่ายๆ ไม่เจ็บ โดยใช้เวลาเก็บตัวอย่าง DNA ประมาณ 1 นาทีเท่านั้น
โดยตัวอย่างจะถูกส่งไปวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการของ บริษัท Prenetics ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการทดสอบทางพันธุกรรม ผ่านห้องปฏิบัติการมาตรฐาน ISO-15189:2012 ที่ได้รับการรับรองในระดับสากล จาก Hong Kong Laboratory Accreditation Scheme ซึ่งมีนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ด้านพันธุศาสตร์เป็นผู้วิเคราะห์ผล และนักโภชนาการที่สามารถช่วยอ่านผลและให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ฟรีไม่เกิน 30 นาทีได้อีกด้วย นอกจากนี้ผู้รับการตรวจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ที่มีรายงานข้อมูลเฉพาะบุคคลและคำแนะนำในการดูแลรักษาสุขภาพผ่านการรับประทาน การออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การปรึกษากับนักโภชนาการ การตั้งเป้าหมายสุขภาพ และการเก็บข้อมูลด้านสุขภาพของตนเอง ซึ่งข้อมูล DNA ส่วนบุคคล จะถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีการเปิดเผยให้กับเมืองไทยประกันชีวิต
“myTHAIDNA” เกิดขึ้นจากที่ในปัจจุบันการดูแลรักษาสุขภาพได้เปลี่ยนไป โดยเทคโนโลยี เข้ามามีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยที่แม่นยำและการรักษาที่มีประสิทธิภาพรวดเร็วมากขึ้น และเทคโนโลยีสามารถช่วยให้เข้าใจถึงความต้องการของร่างกายได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถดูแลตนเองและลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งจุดนี้เองที่เมืองไทยประกันชีวิตเห็นถึงความสำคัญและความมีประโยชน์ การตรวจ DNA เพื่อหาความเหมาะสมทางด้านโภชนาการมีความแพร่หลายแล้วในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ที่มีห้องปฏิบัติการตรวจ DNA เชิงพาณิชย์อยู่มาก
แต่ในเอเชีย นวัตกรรมการตรวจ DNA ยังมีราคาค่อนข้างสูง จึงเป็นนวัตกรรมที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ยาก ในครั้งนี้ เมืองไทยประกันชีวิต จึงได้ร่วมมือกับ บริษัท Prenetics นำการตรวจ DNA เพื่อการดูแลสุขภาพที่ดีกว่าเป็นเจ้าแรกของวงการธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย เพื่อนำนวัตกรรมการตรวจ DNA ให้คนไทยเข้าถึงได้ง่ายในราคาที่เหมาะสม โดยสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่ www.mythaidna.com
สำหรับโครงการที่สอง เพื่อเป็นการตอบโจทย์ด้านสุขภาพมากยิ่งขึ้น บริษัทฯ ได้ร่วมเป็นพันธมิตร กับ บริษัท Health at Home สตาร์ทอัพด้าน Healthtech ของประเทศไทย ซึ่งการร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของผู้ป่วยที่มีความต้องการในการรักษาอย่างต่อเนื่องที่บ้านหรือผู้สูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากทำให้เป็นปัญหาของสถานพยาบาลที่มีเตียงและผู้ดูแลจำกัด และความต้องการนี้จะเพิ่มขึ้นไปอีกในระยะเวลาอันใกล้ เนื่องจากประเทศไทยกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย (Ageing Society)
Health at Home เป็นธุรกิจบริการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่บ้าน ในแบบ Home Care โดยทีมงานผู้ดูแลที่มีมาตรฐาน เชื่อถือได้ พร้อมความทันสมัย ด้วยระบบ Real-time Analytics เพื่อช่วยให้ครอบครัวของผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุสามารถติดตามการดูแลรักษาได้ตลอดเวลา โดยบริการของ Health at Home มีบริการให้เลือกในหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลเบื้องต้นสำหรับผู้สูงอายุที่ยังช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ต้องการคนดูแลหรือคนอยู่เป็นเพื่อน จนถึงพยาบาลวิชาชีพ ที่สามารถดูแลผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งในอนาคตยังเตรียมขยายการให้บริการไปยังด้านอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการให้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น
“จุดยืนในการมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านการประกันชีวิตและสุขภาพของเรา ไม่ใช่แค่เข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร แต่เราจะคิดเผื่อไปมากกว่านั้น และสิ่งที่เรามานำมอบให้แก่ลูกค้า ไม่ใช่แค่เรื่องของประกัน การเคลม หรือการติดต่อตัวแทน แต่เป็นการดูแลลูกค้าผ่านนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ และบริการที่หลากหลาย ที่ถูกออกแบบโดยการคิดเผื่อที่รอบด้านเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในทุกช่วงชีวิต ” นายสาระ กล่าว
นายสาระ กล่าวว่า สำหรับเงื่อนไขในการรับสิทธิ์ซื้อการตรวจ “myTHAIDNA” เพียงซื้อแบบประกันภัยของบริษัทฯ ที่มีระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป โดยเลือกชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี และชำระเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 25,000 บาทขึ้นไปต่อกรมธรรม์ สำหรับลูกค้าใหม่ และชำระเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 12,500 บาทขึ้นไปต่อกรมธรรม์ สำหรับลูกค้าปัจจุบัน จะได้รับสิทธิ์ในการซื้อการตรวจในราคา 7,000 บาท (จำกัด 1 สิทธิ์/1 กรมธรรม์) ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 – 30 มิถุนายน 2561 หรือจนกว่ามีผู้รับสิทธิ์จนครบจำนวน
ด้านสมาชิกเมืองไทย Smile Club สามารถใช้คะแนนสะสม Smile Point 1,800 คะแนน เพื่อแลกรับสิทธิ์ในการตรวจ myTHAIDNA จำนวน 1 สิทธิ์ ระยะเวลาการแลกคะแนนสะสมตั้งแต่วันนี้ – 29 ธันวาคม 2560 และสมาชิกเมืองไทยSmile Club ที่สนใจใช้บริการ Health at Home สามารถแสดงบัตรเพื่อรับส่วนลดการใช้บริการ 10 % จากราคาปกติ หรือ ใช้คะแนนสะสม Smile Point 25 คะแนน แลกรับส่วนลด 100 บาท และยังสามารถใช้คะแนนสะสม Smile Point แลกรับบริการ Smile Care 1 ครั้ง เป็นระยะเวลา 12 ชม. ดังนี้
· บริการ Smile Care 1 ใช้คะแนนสะสม Smile Point 600 คะแนน เพื่อรับบริการผู้ดูแล โดยพยาบาลวิชาชีพ
· บริการ Smile Care 2 ใช้คะแนนสะสม Smile Point 380 คะแนน เพื่อรับบริการผู้ดูแล โดยผู้ช่วยพยาบาล
· บริการ Smile Care 3 ใช้คะแนนสะสม Smile Point 320 คะแนน เพื่อใช้บริการผู้ช่วยเหลือคนไข้และพนักงานเฝ้าไข้
โดยสมาชิกเมืองไทย Smile Club สามารถแลกคะแนนสะสมได้ที่ โทร.1766 เมืองไทย Smile กด 4 และ Smile Service Application ระยะเวลาใช้สิทธิ์แลกคะแนนสะสมได้ตั้งแต่วันนี้ –30 พฤศจิกายน 2560
นายสาระ กล่าวต่อไปถึงเป้าหมายเบี้ยประกันชีวิตรับรวมปี 2560 คาดว่าจะเติบโต 8% ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกบริษัทมีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมเติบโตขึ้น 12% เบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ใหม่เติบโต 4% เบี้ยต่ออายุเติบโต 16% อัตราส่วนเงินกองทุน (CAR Ratio) 430% ซึ่งถือว่ามีความแข็งแกร่ง และมากกว่าที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ.และมีสินทรัพย์รวม 4 แสนล้านบาท
สำหรับภาพรวมประกันสุขภาพของทั้งอุตสาหกรรมยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งที่ผ่านมาเติบโตมากกว่าปีละ 10% หรือ 50,000-60,000 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากคนไทยให้ความสำคัญกับเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น รวมถึงเบี้ยประกันสุขภาพเองก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะตอนนี้มีหลายบริษัทก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องค่ารักษาพยาบาล โรคร้ายแรง รวมถึงการนำประกันควบสุขภาพ หรือเบี้ยสุขภาพเข้ามาตอบโจทย์
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจประกันชีวิตยังมีทิศทางที่เติบโตอยู่ ซึ่งถ้าดูจากตัวเลขของสมาคมประกันชีวิตไทยในช่วง 5 เดือนแรก มีเบี้ยรับรวมเติบโตขึ้น 5% อาจจะโตน้อยกว่าในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ถือว่ายังเติบโตอยู่ ทั้งนี้ ยอมรับว่าขณะนี้ถือว่าเป็นยุคที่ธุรกิจประกันต้องมีการปรับตัว ทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์ และบริการ เพื่อให้ตอบโจทย์ และให้ลูกค้ามีทางเลือกให้มากที่สุด
“เบี้ยประกันรับรวมของทั้งอุตสาหกรรมยังคงเติบโตอยู่ ถึงจะโตน้อยกว่าช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน หลายๆ บริษัทพยายามที่จะตอบรับในเรื่องของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ โดยมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง” นายสาระ กล่าวสรุป