26 มิถุนายน 2560 : ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์สุดท้าย (26-30 มิ.ย.) ของไตรมาสที่สอง แรงซื้อขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศจะเป็นตัวแปรสำคัญของตลาด เพราะแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศดูจะแผ่วลงไปเงินที่ไหลเข้าในประเทศ ส่วนใหญ่ไปอยู่ในตลาดพันธบัตร และส่งผลตามมาคือ เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง ดัชนีฯจะแกว่งตัวในลักษณะของ sideway ตลาดมีปัจจัยที่รอคอยหลายตัว อาทิ ตัวเลขเศรษฐกิจ และความคืบหน้ากฎหมายด้านสุขภาพของสหรัฐฯ ขณะที่ราคาน้ำมัน แม้จะมี rebound แต่มีความผันผวนสูง
โดยปัจจัยในประเทศ ตัวแปรด้านเศรษฐกิจดีขึ้น แต่มีความพะวงต่อผลประกอบการอยู่บ้าง การเข้าซื้อหุ้นของนักลงทุนจึงเลือกเล่นเพียงบางตัวและการซื้อขายจะเบาบางลงในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา คาดว่าจากนักลงทุนสถาบันผ่อนแรงซื้อ-ขายลง แม้ว่าดัชนีฯ ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นได้ แต่ด้วยกรอบแนวต้านด้านบน ที่ยังเหลืออีกไม่มากนัก การเข้าลงทุนยังต้องเป็น “selective buy” หรือรอขายเมื่อดัชนีฯเคลื่อนตัวขึ้นเหนือ 1,590 จุดเป็นต้นไป เพราะตลาดขยับตัวน้อยและเปลี่ยนตัวเล่นอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ควรให้ความสนใจกับค่าดอลล่าร์-Bond Yield เนื่องจากเป็นตัวชี้นำการโยกย้ายเงินลงทุน สัปดาห์นี้ยังแนะนำคงเงินสดในพอร์ตไว้ 30% เน้นหุ้นเสี่ยงต่ำ , หุ้นอิงรายได้จากการลงทุนภาครัฐฯ และหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว นอกจากนี้ นักวิเคราะห์น่าจะประเมินกำไรของหุ้นบางกลุ่มได้แล้ว ว่าผลประกอบการ 2Q จะออกมาแนวไหน อาทิ กลุ่มธนาคาร และกลุ่มน้ำมัน-ปิโตรเคมี เป็นต้น
สำหรับหุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ BCH , JWD , PTTGC, BEM, GPSC, WICE, WHA, ATP30 หุ้นแนะนำเชิงเทคนิคได้แก่ FSMART , COM7 ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,573-1,596 จุด
ทั้งนี้ปัจจัยที่ควรติดตามในสัปดาห์นี้ได้แก่ ปัจจัยเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนโยบาย Trump ได้แก่การรายงานคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (28) ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศ (28) และตัวเลข GDP 1Q17F (29) คาดว่าจะออกมาที่ 1.2% QoQ และนโยบายด้านสุขภาพของทรัมป์ เริ่มส่งสัญญาณการผลักดันนโยบาย affordable care อีกครั้ง โดยความ ชัดเจนจะเกิดขึ้นในอาทิตย์หน้า หากนโยบายดังกล่าวสามารถผ่านสภาฯได้ ขั้นตอนถัดไปคือการผลักดันนโยบายปฏิรูปภาษี ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดสหรัฐฯกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง
ขณะเดียวกัน เรื่อง Fed จะลดขนาดสินทรัพย์สร้างความหวั่นไหวให้กับตลาด KTBST ประเมินว่า นักลงทุนกำลังรอดูว่า Fed จะเริ่มดำเนินการจริงเมื่อใด คืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ เปรยว่าน่าจะมีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว ในการประชุม FOMC วันที่ 19-20 ก.ย. เชื่อว่าในระหว่างที่รอคอย ทำให้นักลงทุนยังไม่มีการขยับตัวมาก คือ ไม่ซื้อ-ไม่ขาย ดังนั้นสัปดาห์นี้ อาจต้องรอฟังความเห็นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ Fed ที่จะมีการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์หลายงาน สำคัญที่สุด จะเป็น นางเจเน็ต เยลเลน ประธาน Fed (27) ที่กรุงลอนดอน
ด้านราคาน้ำมันดิบ ด้วยความกังวลต่อภาวะ oversupply ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบ WTI สัปดาห์นี้ ว่ามีโอกาสรีบาวน์ ขึ้นไปถึง $45 เหรียญ หุ้นกลุ่มน้ำมัน-โรงกลั่นน้ำมัน จะยังมีกรอบการเคลื่อนไหวที่จำกัด แต่จะเป็นบวกต่อผู้ใช้น้ำมัน อย่างเช่น สายการบิน ปิโตรเคมี หรือผู้ผลิตที่ราคาวัตถุดิบอิงกับราคาน้ำมัน
ส่วนปัจจัยในประเทศ ตัวเลขส่งออกไทยที่ออกมาดี และได้แรงกระตุ้นภาครัฐฯ การที่ตัวเลขส่งออกของไทย เดือน พ.ค. ขยายตัวถึง 13.2% และงวด 5 เดือนขยายตัว 7.2% บวกกับความพยายามของรัฐฯที่เข็นนโยบายและผลักดันโครงการลงทุนต่างๆให้มีความคืบหน้า ส่งผลบวกด้านจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นไทย ที่จะลดความกังวลต่อแนวโน้ม GDP หลังภาครัฐฯชะลอการกระตุ้นเศรษฐกิจมาระยะหนึ่ง และเห็นการชะลอตัวของกำไรหุ้นที่อิงกับภาวะเศรษฐกิจ และแรงหนุนภาครัฐฯ