14 พฤษภาคม 2560 : หลังจากปิดมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ โดยผ่านแผนการยกเว้นภาษีการโอนที่อยู่อาศัย เมื่อสิ้นเดือนเมษายน 2559 ที่ผ่านมา ในช่วงที่มีมาตรการดังกล่าวก็ช่วยกระตุ้นเร่งผู้บริโภคให้ตัดสินใจซื้อบ้านได้เร็วขึ้น เพราะทำให้ผู้ซื้อบ้านลดต้นทุนในการมีที่อยู่อาศัยไว้ครอบครองได้มากพอสมควร และมาตรการนี้เองทำให้ผู้ประกอบการ ต่างมีความหวังว่า บ้านในโครงการรวมถึงคอนโดมิเนียมจะขายออกโดยเร็ว แต่พอหมดมาตรการภาครัฐ
อสังหาริมทรัพย์เริ่มซบเซา เนื่องจากหลายคนยังกังวลในเรื่องภาระหากต้องกู้เงินซื้อบ้าน และช่วงเดือนตุลาคม 2559 ประเทศไทยสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งของประเทศ ทำให้ตลาดนิ่งไปชั่วขณะ
ในปีนี้ภาพเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการหลายแห่งต่างมีความหวัง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเดินตะลุยสร้างบ้านใหม่ๆเพื่อมาตอบสนอง เพราะบ้านใหม่ที่อยู่ในโครงการยังคงเหลืออยู่จำนวนมาก ทั้งนี้ จากข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ล่าสุด รายงานโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ ไตรมาส 1/2560 ไว้อย่างน่าสนใจ
โดยภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2560 มีการชะลอตัวลงในด้านจำนวนหน่วย แต่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559
ด้าน ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ดำเนินการสำรวจข้อมูลโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2560 พบว่า มีจำนวน 85 โครงการ มีหน่วยในผังรวม 24,103 หน่วย จำนวนหน่วยลดลงร้อยละ 3.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีจำนวน 113 โครงการ 24,839 หน่วย แต่มีมูลค่าโครงการรวม 94,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวม 77,430 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าโครงการเปิดขายใหม่ในปี 2560 เปิดขายในระดับราคาต่อหน่วยสูงกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อน
จากรายงานพบว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เปิดขายจำนวน 50 โครงการ 18,754 หน่วย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 77.8 ของจำนวนหน่วยโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ทั้งหมด เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559ซึ่งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เปิดขายจำนวน 43 โครงการ 14,211 หน่วย
โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ แบ่งออกเป็นโครงการบ้านจัดสรรและโครงการอาคารชุด โดยโครงการบ้านจัดสรรมีการเปิดขายใหม่จำนวน 54 โครงการ 10,601 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 38,750 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลงร้อยละ 1.4 แต่มีมูลค่าโครงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีโครงการเปิดขายจำนวน 74 โครงการ 10,757 หน่วย มูลค่าโครงการ 34,820 ล้านบาท และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีโครงการเปิดขายใหม่จำนวน 32 โครงการ 8,674 หน่วย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 81.8 ของจำนวนหน่วยโครงการบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่ทั้งหมดในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559
ส่วนโครงการอาคารชุดเปิดขายใหม่ในไตรมาส 1 ปี 2560 มีจำนวน 31 โครงการ 13,502 หน่วย มีมูลค่าโครงการอาคารชุดรวม 55,880 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลงร้อยละ 4.2 แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.1 จากช่วงเดียวกันของปี 2559 ซึ่งมีจำนวน 39 โครงการ 14,082 หน่วย มูลค่า 42,610 ล้านบาท และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีโครงการเปิดขายใหม่จำนวน 18 โครงการ 10,080 หน่วย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 74.7 ของจำนวนหน่วยโครงการอาคารชุดเปิดขายใหม่ทั้งหมดในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 58.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากการสำรวจราคาโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขาย หรือมีหน่วยเหลือขายตั้งแต่ 6 หน่วยขึ้นไป เพื่อจัดทำดัชนีราคาที่อยู่อาศัย 3 ประเภท ได้แก่ ดัชนีราคาห้องชุด ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว และดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ พบว่า ราคาที่อยู่อาศัยในไตรมาส 1 ปี 2560 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2559 (YoY) และไตรมาส 4 ปี 2559 (QoQ) ทุกประเภท ดัชนีราคาห้องชุดในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล 2 จังหวัด (นนทบุรี และสมุทรปราการ) ในไตรมาส 1 ปี 2560 มีค่าดัชนีเท่ากับ 124.9 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 จากไตรมาส 1 ปี 2559 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากไตรมาส 4 ปี 2559
ดัชนีราคาบ้านแนวราบในพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล 3 จังหวัด (นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ) ในไตรมาส 1 ปี 2560 มีค่าดัชนีเท่ากับ 116.7 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2559 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2559 เมื่อแยกพิจารณาแต่ละประเภท พบว่า ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว มีค่าดัชนีเท่ากับ 114.9 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2559 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2559 ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ มีค่าดัชนีเท่ากับ 118.6 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2559 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2559