21 มีนาคม 2560 : แมกซี่อินชัวร์รันส์ โบรกเกอร์ เผยผลงานในปี 59 ที่ผ่านมามีเบี้ยรัย 1,100 ล้านบาท โต 20% พร้อมโชว์กลยุทธ์ปี 60 ปรับตัวรับยุค “ไทยแลนด์ 4.0″ มุ่งเน้นบริการผ่าน”ดิจิทัล” เน้นบริการลูกค้าแบบครบวงจร
นายจิตวุฒิ ศศิบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกซี อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จํากัด เปิดเผยถึงความคาดหวังในอีก 5 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้ามีเบี้ยประกันภัยรับอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท โดยในปี 2560 นี้ บริษัทได้วางเป้าหมายมีอัตราการเติบโตที่ 15% หรือมีเบี้ยประกันภัยรับอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท คิดเป็นรายได้อยู่ที่ 170 ล้านบาท
ในปีนี้บริษัทฯ มีการลงทุนปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ เพื่อรองรับแอพพลิเคชั่นที่จะได้มีพัฒนาเพิ่มขึ้น และลดต้นทุนในการบริหารงาน พร้อมกับปรับปรุงระบบการทำงานภายในองค์กร เพื่อสร้างประสิทธิภาพให้กับบุคลากร และเพื่อให้ความสะดวกแก่ลูกค้าอีกด้วย นอกจากนี้ยังได้เพิ่มช่องทางการขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านสื่อดิจิทัลให้กับลูกค้ารายย่อย และบริการต่อายุกรมธรรม์ลูกค้าเดิมที่มีอยู่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิคส์
ส่วนทางด้านกลยุทธ์การทำงานบริษัทฯ มีแผนขยายฐานลูกค้าไปยังภาคใต้ฝั่งตะวันตก “แมกซี่ สาขาภูเก็ต” จากตัวแทนและลูกค้าธุรกิจท่องเที่ยวต่างๆ รวมถึงขยายฐานลูกค้าในกลุ่มขนส่งสินค้าให้มากขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าจะสามารถให้บริการได้ทั้งประกันภัยขนส่ง ประกันภัยความรับผิดของผู้ขนส่ง ประกันภัยรถยนต์ที่ใช้ในการขนส่ง คลังสินค้า โกดังต่างๆ
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2559 ที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับ 1,100 ล้านบาท เติบโตกว่า 20% โดยมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยรับเป็นประกันภัยรถยนต์ 75% ประกันวินาศภัยอื่นๆที่เป็นธุรกิจองค์กรที่ 20% ประกันภัยสวัสดิการพนักงานที่ 5% และมีรายได้มากกว่า 150 ล้านบาท เติบโต 20% เปรียบเทียบกับปี 2558 ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าที่ใช้บริการรวมกว่า 60,000 ราย
ด้านภาพรวมธุรกิจประกันภัยในปีนี้ธุรกิจประกันภัยยังมีคงมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบทำให้ราคาเบี้ยประกันลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประกันภัยทรัพย์สิน และ ประกันภัยเบ็ดเตล็ด อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้บริษัทได้วางแผนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในเรื่องของการบริการผ่านทางอิเล็คทรอนิคส์ ให้เหมาะกับแนวโน้มการโภคของลูกค้าในยุคไทยแลนด์ 4.0
“บริษัทยังมีแผนเปิดแผนกประกันภัยต่อ รวมไปถึงการขยายการบริการสู่ประเทศเพื่อบ้านที่ยังขาดความสามารถในการรับงาน รวมถึงธุรกิจของคนไทยที่ขยายฐานไปประเทศเพื่อนบ้าน โดยเน้นงานประกันภัยต่อแบบ Facultative Reinsurance เป็นหลักก่อน” นายจิตวุฒิ กล่าว