18 มีนาคม 2560 : ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันอุบัติเหตุบนถนนในประเทศไทย มีสถิติผู้เสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน จากสถิติข้อมูลพบว่าสาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่พบอันดับต้นๆ คือ การเมาแล้วขับ เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ทำให้ความสามารถในการขับขี่ลดลง
ที่ผ่านมาสำนักงาน คปภ. ทำงานร่วมมือกับหลายฝ่ายและหน่วยงานต่างๆ อาทิเช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มูลนิธิเมาไม่ขับ คณะกรรมการวิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูประบบความปลอดภัยทางถนน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ฯลฯ เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ตลอดจนร่วมกันหาแนวทางและมาตรการต่างๆ เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า ลำพังมาตรการเดิมๆ ที่เคยใช้รณรงค์ลดอุบัติเหตุ ในช่วงเทศกาลวันหยุดเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้
ดังนั้น จึงมีการปรับแก้ไขข้อความในกรมธรรม์ประกันภัย กรณีที่ผู้ขับขี่รถเอาประกันภัยภาคสมัครใจ มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประสบอุบัติเหตุจะไม่ได้รับความคุ้มครองทั้งชีวิตและทรัพย์สินจากกรมธรรม์ แต่ในส่วนของผู้ประสบภัยหรือบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายจากรถคันที่เอาประกันภัยดังกล่าวยังคงได้รับความคุ้มครอง
โดยบริษัทประกันภัยของรถคันที่เป็นฝ่ายผิดจะต้องให้ความคุ้มครองชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ต่อผู้ที่ได้รับความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน โดยบริษัทประกันภัยจะไปไล่เบี้ยเรียกคืนค่าสินไหมทดแทน จากผู้ขับขี่ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อไป
ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนปริมาณแอลกอฮอล์ดังกล่าว ไม่กระทบต่อความคุ้มครองของการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.)
“มาตรการต่างๆด้านประกันภัย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการลดเบี้ยประกันภัยให้กับผู้เอาประกันภัยที่ติดกล้อง CCTV ภายในรถยนต์ และในเรื่องการปรับลดปริมาณแอลกอฮอล์ให้เป็นไปตามกฎหมายจราจรทางบก ทั้งสองมาตรการที่ออกมาตระหนักถึงความสำคัญในการใช้รถใช้ถนนอย่างระมัดระวังและมีความปลอดภัย ซึ่งจะส่งผลให้สามารถลดจำนวนอุบัติเหตุบนท้องถนน อีกทั้ง ยังเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนมีความปลอดภัยจากอุบัติเหตุบนท้องถนน” ดร.สุทธิพล กล่าวในที่สุด