6 มีนาคม 2560 : FWD ตั้งลำก้าวแตะท็อปไฟว์ในระบบประกันชีวิตในปีนี้ พร้อมเพิ่มทุนอีก 6,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายงานในทุกด้าน
นายไมค์ แพล็กตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถึงผลการดำเนินงานในปี 2559 ที่ผ่านมา สามารถสร้างสถิติสูงสุดใหม่ของเบี้ยประกันภัยรับปีแรกที่ 7,500 ล้านบาท เติบโต 28% โดยเบี้ยประกันภัยรับผ่านช่องทางธนาคารเติบโต 17% เบี้ยประกัน 5,000 ล้านบาท ช่องทางตัวแทนเติบโต 27% เบี้ยประกัน 1,200 ล้านบาทและช่องทางการขายแบบทางเลือกเติบโต 159% เบี้ยประกัน 1,300 ล้านบาท ซึ่งมาช่องทางขายผ่านบิ๊กซี และขายผ่านดิจิตอล และเบี้ยประกันภัยรับรวมที่ 20,000 ล้านบาท เติบโต 20%
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จอย่างมากในกรมธรรม์ยูนิตลิงค์ โดยสามารถผลิตเบี้ยประกันภัยรับรวมได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท ในปี 2559 ที่ผ่านมา ดังนั้น ในปีนี้ก็ยังคงมุ่งเป้าที่จะขยายเบี้ยประกันยูนิต ลิงค์ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขยายช่องทางการจำหน่าย – บริการ ผ่านดิจิตอล เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นด้วย
ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 7 และตั้งเป้าหมายขยับขึ้นเป็น 1 ใน 5 ของธุรกิจประกันชีวิตในปี 2561 พร้อมกันนี้ ด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทางสำนักงานใหญ่ มีมติเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 6,500 ล้านบาท จากเดิมมีทุน 2,200 ล้านบาท รวมเป็น 8,700 ล้านบาท สัดส่วนผู้ถือหุ้นเพิ่มจาก 25% เป็น 49% และมีคาร์เรโชสูงถึง 272%
สำหรับกลยุทธ์ในปี 2560 เพื่อบรรลุเป้าหมายประกอบด้วยเสาหลัก 5 ประการ ได้แก่ 1.กลยุทธ์ในการสร้างยอดขายและมูลค่าทางธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง 2.การมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและระบบปฎิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ 3.การบริหารจัดการการเงินและเงินกองทุนที่แข็งแกร่งรวมทั้งมีธรรมาภิบาล 4.การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล และ 5.กลยุทธ์การส่งมอบประสบการที่ดีแก่ลูกค้า โดยบริษัทมุ่งเน้นที่จะพัฒนาคุณภาพของบุคลากรในทุกช่องทางการขาย
ทั้งนี้ เอฟดับบลิวดี ได้รับคะแนนความพึงพอใจของลูกค้าอยู่ที่ 72% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธุรกิจประกันชีวิตโดยรวมซึ่งอยู่ที่ 69% และปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 840,000 คน มีพนักงานกว่า 720 คน และมีตัวแทนเกือบ 5,000 คน ทั่วประเทศ
ขณะที่ นายบ๊อบ เวาเทอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท เอฟดับบลิวดีประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ FWD เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์ลงทุน 87,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับปี 58 โดยสัดส่วนการลงทุนแบ่งเป็น ตราสารหนี้ 84%, ตราสารทุนและทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 11% และสินทรัพย์อื่นๆ 5% ทั้งนี้ การลงทุนส่วนใหญ่ของบริษัทจะมุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์ภายในประเทศ แต่ก็มีบางส่วนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกลยุทธ์ในการสร้างผลตอบแทนที่ดีบนความเสี่ยงที่พอรับได้ จึงมีการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทมีต่ำกว่า 5% เนื่องจากบริษัทจะมองหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศเฉพาะเวลาที่เห็นโอกาสดีๆ หรือเพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนภายในประเทศเท่านั้น ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเอ้าท์เพอร์ฟอร์มดีที่สุดในอาเซียน ส่วนหุ้นที่บริษัทสนใจลงทุน ได้แก่ กลุ่มธนาคาร พลังงาน พร็อพเพอร์ตี้ และกองรีทต่างๆ
“ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจภายในประเทศจะชะลอตัว บริษัทก็พยายามหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งการวางแผนและกลยุทธ์ในการเลือกสินทรัพย์ลงทุน ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่บริษัทก็มีนโยบายที่เลือกสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี แต่ก็อยู่บนความเสี่ยงที่สามารถรับได้ ขณะเดียวกันก็มีการกระจายการลงทุนทั้งในประเทศและนอกประเทศด้วย” นายบ๊อบ กล่าว