1 มีนาคม 2560 : นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (1 มี.ค.) เช้านี้ ตลาดหุ้นทั่วโลก น่าจะเตรียมรับการแถลงแผนหรือนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะมีต่อสภาคองเกรส เริ่มประมาณ 9 โมงเช้าตามเวลาในประเทศไทย และผลอาจทราบเมื่อตลาดหุ้นไทยเปิดทำการไปแล้ว
โดยคาดว่าจะมีการประกาศแผนเศรษฐกิจที่สำคัญๆและมีผลต่อตลาดหุ้น คือ แผนลงทุนด้านสาธารณูปโภค 1 ล้านล้านเหรียญ และแผนปฎิรูปโครงสร้างภาษี แม้นักลงทุนของสหรัฐฯจะมองเป็นบวก เพราะเป็นเรื่องของสหรัฐฯโดยตรงแต่ตลาดหุ้นอื่นๆ จะขึ้นกับว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯที่จะขยายตัวขึ้นจากนโยบายดังกล่าว เป็นบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก แต่จะไปทำให้ระดับดอกเบี้ยของสหรัฐฯขยับขึ้นเร็วขนาดไหน เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน และมีผลต่อ Fund Flow โดยตรง
ขณะที่ความน่าจะเป็นของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เดือน มี.ค. ปรับขึ้นจาก 50% เป็น 52% บ่งชี้ว่า เวลานี้ตลาดให้น้ำหนักว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ และเช่นเดียวกับวันก่อน ที่เราให้ความเห็นว่า โอกาสที่ Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ย ยิ่งมากเท่าใด จะทำให้ความกังวลต่อการขายหุ้นหรือการเคลื่อนย้ายเงินทุน(ระยะสั้น) ของนักลงทุนต่างประเทศมีมากขึ้นการซื้อขายของนักลงทุนในตลาดหุ้นเอเซียวันที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเป็น net sell ด้านราคาน้ำมันดิบ (WTI) ปิดที่ $54 เหรียญ นักลงทุนรอดูการรายงานตัวเลข stock น้ำมันดิบของสหรัฐฯ โดย EIA ในคืนนี้ ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.1-2.9 ล้านบาร์เรล และส่วนหนึ่งมาจากรอดูการแถลงของประธานาธิบดี เนื่องจากมีผลต่อการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินทั่วโลก และนโยบายด้านพลังงานของสหรัฐฯ ที่จะมีผลต่อการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯในอนาคต ราคาสินค้าในกลุ่มโลหะ สังกะสีและทองแดงเดินหน้าต่อ แต่ราคาสินแร่เหล็กปรับตัวลดลง
ส่วนปัจจัยในประเทศ ที่ประชุม ครม. อนุมัติ หลักการร่างกฤษฎีกาฯ ลดภาษีเงินได้สำหรับผู้ที่ทำงานในกิจการที่อยู่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และ เห็นชอบหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อเปิดโอกาสมีการแข่งขันมากขึ้น โดย งานก่อสร้างที่มีวงเงินตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป ที่จะให้บริษัทในต่างประเทศเข้าร่วมประมูลด้วย และการรายงานกำไรของบริษัทในตลาดเช้านี้เป็นชุดสุดท้าย (ไม่ส่งงบ 8.30 น. จะขึ้น “SP”) จากการรวบรวมข้อมูลล่าสุดของ KTBST กำไร 4Q-59 ของบริษัทในตลาด (SET) ณ 28 ก.พ. อยู่ที่ 2.03 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.6% YoY แต่ ลดลง 2.5% QoQ กำไรของปี 2559 เพิ่มขึ้น 28% YoY ใกล้เคียงกับที่เราเคยคาดไว้
ดังนั้นทิศทางตลาดหุ้นในวันนี้ จะไปขึ้นกับการตอบรับของนักลงทุนต่อมาตรการกระตุ้นเศษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นหลักเลย ซึ่งจะทราบผลในช่วงเช้าของวันนี้ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งบวกและลบต่อตลาดหุ้นไทย การตัดสินใจในการลงทุนวันนี้ จึงควรรอผลที่จะออกมาก่อน ทั้งนี้ เราเชื่อว่า แม้ผลจะออกมาหากเป็นในทางลบ จะมีผลต่อตลาดไม่มาก เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่เตรียมรับในเรื่องที่ไว้บ้างแล้ว แต่หากออกมาเป็นบวก จะทำให้หุ้นขนาดใหญ่ที่อิงตลาดปรับตัวสูงขึ้นได้ แต่คาดจะเป็นในช่วงสั้นๆ เพราะหลังจากนี้ ตลาดจะกลับไปกังวลในเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed การเก็งกำไรช่วงสั้น หุ้นที่เราคาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุน อาทิเช่น SVI , SAMART , S11 , LPN “
