กรุงเทพฯ 24 กุมภาพันธ์ 2560 : รายงานฉบับใหม่ ได้กล่าวถึงการปฏิบัติงานด้านไอทีอย่างไรให้เกิดประสิทธิผลที่ดีที่สุดในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งเผยแพร่โดย บริษัท ไดเมนชั่น ดาต้า เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงานด้านไอทีใช้เวลาในการทำงานมากกว่า 30% ไปกับการให้บริการตามคำขอและดูแลประเด็นการแก้ปัญหา ขณะใช้เวลาเพียงแค่ 15% ไปกับการสร้างสรรค์นวัตกรรม นี่แสดงให้เห็นถึงการจัดสรรเวลาที่ลดลงถึง 25%ในแต่ละปี
อย่างในเรื่อง ความต้องการประโยชน์ที่จะได้จากการปรับปรุงความผูกพันระหว่างลูกค้ากับองค์กร การใช้งานอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ หรือ ไอโอที (IoT) การเพิ่มการใช้งานข้อมูลขนาดใหญ่หรือบิ๊ก ดาต้าและการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งทำให้นวัตกรรมด้านไอทีเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเอามาเป็นข้อต่อรองในองค์กรได้ นับเป็นการส่งสารที่ชัดเจนว่า องค์กรธุรกิจที่ขาดการพัฒนารูปแบบธุรกิจด้วยไอทีอาจพลาดโอกาสทางการตลาดในอนาคต
นายบิล แพดฟิลด์ ผู้บริหารฝ่ายบริการของไดเมนชั่น ดาต้า กรุ๊ป กล่าวว่า รายงานฉบับนี้ได้เน้นถึงระบบงานอัตโนมัติว่ามีความสำคัญที่ทำให้การปฏิบัติงานด้านไอทีเกิดประสิทธิผลที่ดีที่สุด
“องค์กรไอทีที่ชาญฉลาดต่างเข้าใจว่า ถ้าพวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการทำงานในตอนนี้ อาจจะพลาดโอกาสทางการตลาดที่มากกว่าเดิมในอนาคต ระบบงานอัตโนมัติและทักษะในการประสานงานของไดเมนชั่น ดาต้า จะเข้ามาดูแลกระบวนการและกิจกรรมทางธุรกิจของลูกค้าของเราให้ดำเนินไปได้เป็นปกติ ทำให้พวกเขาต้องการทรัพยากรที่น้อยลง และสามารถใช้เวลาได้มากขึ้นไปกับการใส่ใจในเรื่องความสามารถทางการแข่งขัน การปรับปรุงทรัพยากรที่ให้มูลค่าใหม่ ๆ การสร้างความผูกพันกับลูกค้าผ่านช่องทางที่เหมาะสม และการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อการปฏิบัติงานที่ดีขึ้น”
กว่าทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีได้ส่งผ่านประสิทธิภาพการทำงานที่เข้มข้น นับตั้งแต่การประหยัดต้นทุนไปจนถึงการจัดวางกำลังคน เอื้อต่อกระบวนการปฏิบัติงานที่ลดทอนความสูญเสีย และบรรลุความคาดหวังของผู้ถือหุ้น
อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพงานโดยตัวมันเองนั้น ยังไม่พอสำหรับยุคดิจิทัลที่กำลังเกิดขึ้น ฝ่ายปฏิบัติงานด้านไอทีจะต้องสนับสนุนแนวทางการบริหาร เพื่อให้เกิดการริเริ่มธุรกิจดิจิทัลใหม่ ๆ และส่งผ่านโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่มีความพร้อมสูงได้ตรงต่อความต้องการของผู้ใช้งาน สิ่งเหล่านี้ต้องการระบบไอทีที่ให้ประสิทธิผลดีและยั่งยืน เพื่อส่งผ่านข้อตกลงระดับการบริการที่ดีขึ้น เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น และบนการบริหารโครงสร้างพื้นฐานระดับสูงโดยลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของระบบให้น้อยลง แต่การปล่อยให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างอิสระเพื่อการพัฒนานวัตกรรมยังคงเป็นเรื่องท้าทาย
ขณะที่องค์กรทั้งหลายต่างรู้ว่า พวกเขาต้องพัฒนาระบบปฏิบัติงานด้านไอทีในเชิงยุทธศาสตร์มากขึ้นและใช้กลยุทธ์ให้น้อยลง ทีมพัฒนาไอทีและเทคโนโลยีในองค์กรส่วนใหญ่ยังคงดิ้นรนที่จะทำต่อไป จริง ๆ แล้ว องค์กรส่วนใหญ่ซึ่งมีส่วนร่วมในรายงานฉบับนี้ กล่าวว่า พวกเขายังคงต้องคอยสอดส่องและปรับจูนการ ทำงานของเจ้าหน้าที่ด้านไอทีที่ยังไม่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน โดยมีเพียง 14% ที่รายงานว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของเขามาถึงจุดที่เป็นระบบดิจิทัลแล้ว
ตามรายงานดังกล่าว องค์กรเพียง 20% เท่านั้นที่กล่าวว่า การดำเนินงานของพวกเขาเป็นระบบอัตโนมัติโดยสมบูรณ์ และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีเป็นอย่างดี ในขณะที่ส่วนใหญ่ยังอยู่บนเส้นทางสู่การสร้างระบบงานอัตโนมัติแต่ยังไปไม่ถึงเป้าหมาย
• 9% ขององค์กรไม่มีระบบงานอัตโนมัติ
• 13% มีระบบงานอัตโนมัติที่มีข้อจำกัด
• 32% มีระบบงานอัตโนมัติและการประสานงานในระดับกลาง
• 25% มีระบบงานที่เป็นอัตโนมัติอย่างมาก
นายแพดฟิลด์ กล่าวถึงเหตุผลบางประการที่ทำไมองค์กรไอทีทั้งหลายยังดำเนินการได้ล่าช้าอยู่ว่า น่าจะมาจากเรื่องของงบประมาณ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ “การปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จต้องการการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างผู้คน กระบวนการ และเครื่องมือ อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มของการให้บริการอัตโนมัติด้านไอทียังมีราคาแพง และต้องใช้เวลามากในการพัฒนาและบูรณาการเพื่อเข้าสู่สภาพแวดล้อมด้านไอทีแบบไฮบริดให้เป็นผลสำเร็จ