15 กุมภาพันธ์ 2560 : โตเกียวมารีนประกันชีวิต ตั้งเป้าเบี้ยรับรวมไว้ที่ 6,400 ล้านบาท ขณะที่ผลงานปี 2559 ทำได้ 5,442 ล้านบาทโต 25% พร้อมขยายจำนวนตัวแทนให้ถึง 4,000 คน
นายริวสุเกะ ฟูตามูระ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2559 บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 5,442 ล้านบาท เติบโต 25% แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 1,569 ล้านบาท เติบโต 40% โดยสัดส่วนช่องทางการขายแบ่งเป็น การขายผ่านช่องทางตัวแทน 71% ช่องทางประกันกลุ่ม 18% ช่องทางเทเลมาร์เก็ตติ้ง และอื่นๆ 11% ซึ่งช่องทางการขายผ่านตัวแทนถือเป็นช่องทางหลักที่สามารถสร้างอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันได้อย่างต่อเนื่องในตลอดระยะเวลา 7 ปี
“ตอนนี้บริษัทฯอยู่ในระหว่างการศึกษาเรื่องสังคมสูงวัย ค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้น โดยดูว่าจะออกแบบประกันอย่างไรให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด และบริษัทฯมีแผนที่จะขยายธุรกิจ มองว่าจะทำให้มีทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัย โดยไม่ได้มองว่าจะแยกออกจากกัน และเพื่อดูแลลูกค้าทุกคน” นายริวสุเกะ กล่าว
ด้าน นายสมโพชน์ เกียรติไกรวัล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการช่องทางการขายผ่านตัวแทนประจำปี 2559 บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 3,856 ล้านบาท เติบโต 27% แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 1,139 ล้านบาท เติบโต 47% และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อ 2,717 ล้านบาท โดยสินค้าที่ได้รับการตอบรับยังคงเป็นสินค้าประเภทการวางแผนเพื่อการเกษียณอายุสะสมทรัพย์ ความคุ้มครองตลอดชีพ รวมถึงความคุ้มครองด้านสุขภาพและอุบัติเหตุ ตามลำดับ
สำหรับในปี 2560 บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 1,800 ล้านบาท เบี้ยต่ออายุ 4,600 ล้านบาท รวม 6,400 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 17% เมื่อเทียบกับปี 2559 โดยจะมุ่งเน้นไปที่การขายผ่านช่องทางตัวแทน ที่ตั้งเป้าหมายเบี้ยรับรวมปีนี้ไว้ที่ 4,400 ล้านบาท เติบโต 15% เมื่อเทียบกับปี 2559 แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 1,300 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อ 3,100 ล้านบาท และเพิ่มจำนวนตัวแทนให้มีจำนวน 4,000 คน จากปี 2559 ที่มี 3,600 คน
“ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา สินค้าที่ได้รับการตอบรับอย่างมากจากลูกค้ายังคงเป็นสินค้าประเภทการวางแผนเพื่อการเกษียณอายุ สะสมทรัพย์ ความคุ้มครองตลอดชีพ รวมถึงความคุ้มครองด้านสุขภาพและอุบัติเหตุ ตามลำดับ ยุทธศาสตร์สำคัญในการนำมาซึ่งการเติบโตของเบี้ยประกันภัยในช่องทางตัวแทนปีนี้ ได้แก่
การขยายฐานตลาดให้เข้าถึงกลุ่มคนระดับวัยทำงานเพิ่มมากยิ่งขึ้น ด้วยกลยุทธ์การขายที่เรียกว่า “การวางแผนบำนาญภาคประชาชน” โดยหากมีการเก็บออมเงินตั้งแต่อายุยังน้อย จะมีระยะเวลาในการเก็บออมนาน จำนวนเงินที่เก็บออมจะไม่สูงมากจนเกินกำลัง นอกจากนี้บริษัทยังอำนวยความสะดวกในการเก็บออมด้วยการชำระเบี้ยรายเดือนผ่านบัตรเครดิต ซึ่งจะทำให้ได้รับประโยชน์จากการใช้บัตรเครดิตได้อีกทางหนึ่ง โดยคาดหวังจะได้ผลตอบรับไม่น้อยกว่า 30%
การสร้างและขยายทีมงานตัวแทนที่มีศักยภาพสูง ดังจะเห็นได้จากในปี 2559 มีตัวแทนที่มีคุณสมบัติครบตามกฎเกณฑ์ MDRT ถึง 102 คน ในจำนวนนี้มี 6 คนที่อยู่ในระดับ TOP OF THE TABLE และ 11 คน อยู่ในระดับ COURT OF THE TABLE นับเป็นสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับจำนวนตัวแทนที่มีอยู่ นอกจากนี้บริษัทมีตัวแทนที่ติด TNQA เพิ่มขึ้นทุกปี ข้อมูลในปีล่าสุด 2558 บริษัทมีตัวแทน TNQA 33 คน ซึ่งคาดว่าในปี 2559 ก็จะมีตัวแทน TNQA เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน จากตัวเลขดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นถึงความมีศักยภาพในระดับสูงของตัวแทนโตเกียวมารีนประกันชีวิต
การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนการขาย ซึ่งภายในต้นไตรมาส 2 นี้ บริษัทจะทำการเปิดตัวออนไลน์แอพพลิเคชั่นใหม่ที่ใช้ชื่อเรียกว่า Fast Track เครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มสมรรถนะให้กับตัวแทนในการนำเสนอและปิดการขายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ทำการเปิดตัวออนไลน์แอพพลิเคชั่น
สำหรับลูกค้าที่ใช้ชื่อเรียกว่า Touch Point เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลกรมธรรม์ การเช็คประวัติการเรียกร้องสินไหม ประวัติการชำระเบี้ย ใบแจ้งเตือนกำหนดชำระเบี้ย รวมถึงการดาวน์โหลดใบรับรองการชำระเบี้ยเพื่อใช้ในการลดหย่อนภาษีประจำปี หรือแบบฟอร์มเอกสารต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นช่องทางในการติดต่อบริษัทได้สะดวกยิ่งขึ้น
มุ่งเน้นการฝึกอบรมตัวแทนอย่างเข้มข้น โดยเสริมสร้างความรู้และทักษะในการขาย เพื่อยกระดับขีดความสามารถและภาพลักษณ์ตัวแทนตลอดจนถึงพนักงานให้ก้าวสู่ “มืออาชีพ” อย่างเต็มภาคภูมิ รวมถึงการจัดอบรมหลักสูตร “ผู้วางแผนการเกษียณ” หรือ “Certified Retirement Planner” เป็นหลักสูตรที่ บริษัทฯ ร่วมมือกับคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการจัดอบรมตัวแทนต่อเนื่อง 5 วัน 33 ชั่วโมง เพื่อให้ตัวแทนมีความรู้ในการให้คำแนะนำลูกค้าเพื่อวางแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณอายุได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยหลักสูตรดังกล่าวได้รับการรับรองให้เป็นหลักสูตรสำหรับการต่อใบอนุญาตครั้งที่ 4 อีกด้วย
“บริษัทฯมีกำไรจากการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2556 จนมีกำไรต่อเนื่องมาตลอดจนถึงปัจจุบัน โดยปีนี้เป็นปีแรกที่มีกำไรถึงระดับที่จะต้องชำระภาษี ผลการดำเนินงานเป็นไปตามที่วางแผนไว้ โดยมีกำไรสะสมจำนวน 227 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 14,699 ล้านบาท” นายสมโพชน์ กล่าว