WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันพุธ ที่ 16 เมษายน 2568 ติดต่อเรา
“ทรัมป์” ขึ้นภาษี “ฉ่ำ” แต่ทั่วโลก “ช็อค”

8 เมษายน 2568 : เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศ “วันปลด ปล่อย” โดยสั่งการให้มีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า จากหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งการกระทำนี้ได้รับ การวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากนัก เศรษฐศาสตร์และผู้นำธุรกิจทั่วโลก โดย “ทรัมป์” ได้กำหนดอัตราภาษีสูงสุดถึง 50% สำหรับ บางประเทศ เช่น เลโซโท และ 34% สำหรับสินค้า นำเข้าจากจีน นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดภาษีขั้น ต่ำ 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ และ อัตราภาษี 46% สำหรับสินค้านำเข้าจากเวียดนาม

ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเตือนว่าการขึ้นภาษีครั้ง นี้อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย โดย มาร์ค แซนดี้ จากมูดี้ส์และเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าการขึ้น ภาษีอาจลดการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ลง 2 จุดเปอร์เซ็นต์ ทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น ถึง 7.5% และทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและการลดลงของตลาดหุ้น นอกจากนี้ ครัวเรือนอเมริกันโดยเฉลี่ยอาจต้องจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 3,800 เหรียญสหรัฐฯต่อปี เนื่องจากราคาสินค้านำเข้าที่สูงขึ้น

ส่วนปฏิกิริยาจากนานาชาติ ด้านจีนได้ตอบโต้ด้วยการประกาศภาษี 34% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ และประณามการกระทำ ของทรัมป์ว่าไม่ยุติธรรมและทำลายเสถียรภาพของการค้าระหว่างประเทศ AP NEWS ในขณะเดียวกัน ผู้นำจากสหราชอาณาจักรและ ฝรั่งเศสได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศและเตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิด ขึ้นจากสงครามการค้า

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน การขึ้นภาษีทำให้บริษัทต่างๆ ต้องประเมินห่วงโซ่ อุปทานใหม่ โดยหลายบริษัทวางแผนที่จะส่งต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภคแทนที่จะย้ายการ ผลิตกลับมายังสหรัฐฯ เนื่องจากต้นทุนแรงงานที่สูง และการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ นอกจากนี้ บริษัทที่เคยย้ายการผลิตจากจีนไปยัง ประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนามและไทย ภายใต้โมเดล "China plus one" กำลังพิจารณาย้ายการผลิตไป ยังเม็กซิโก บราซิล และอินเดียแทน เนื่องจากการ ขึ้นภาษีใหม่ที่มุ่งเป้าไปยังประเทศเหล่านี้

สำหรับความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ โดยนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ตลาดหลายคน แสดงความกังวลว่าการขึ้นภาษีของทรัมป์อาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง ลาร์รี่ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ คลัง และพอล ครุกแมน ผู้ได้รับรางวัลโนเบล วิจารณ์ว่าการขึ้นภาษีนี้เป็นการทำลายเศรษฐกิจ และอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและการตอบโต้จากประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ การคาดการณ์บางส่วนระบุว่าการขึ้น ภาษีอาจทำให้ตลาดหุ้นลดลงอย่างมาก และเพิ่ม ความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ทั้งนี้ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ในครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดความกังวล อย่างมากทั้งในและนอกสหรัฐฯ ถึงผลกระทบทาง เศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ทั้งในแง่ของการเติบโตทาง เศรษฐกิจ การว่างงาน และภาวะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศและเสถียรภาพในอนาคต

ส่วนประเทศไทย การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2568 ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยสหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษีตอบโต้สำหรับ สินค้านำเข้าจากไทยที่ 36% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป

ผลกระทบทางเศรษฐกิจไทยที่ได้รับนั้น กระทรวงพาณิชย์ของไทยคาดการณ์ว่าภาษีตอบโต้ที่ 36% นี้อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียราย ได้จากการส่งออกสูงถึง 880,000 ล้านบาท (ประมาณ 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) นอกจากนี้ นายพิชัย จุนหะวิจารณะ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง ยังระบุว่า การขึ้นภาษีดังกล่าว อาจทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยลดลงถึง 1%

ขณะเดียวกันต้องจับตาดูการตอบสนองของรัฐบาลไทยหลังจากนี้ โดยทางรัฐบาลไทยได้แสดงความพร้อมในการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อหาทางลดผลกระทบจากภาษีดังกล่าว นอกจากนี้ รัฐบาลยังเตรียมมาตรการสนับสนุนผู้ส่งออกไทยในการหาตลาดใหม่และปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการจัดการของรัฐบาลต่อสถานการณ์นี้ โดยนางศิริกัญญา ตันสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคฝ่ายค้าน ได้ตั้งคำถามถึงความพร้อมและการตอบสนองของรัฐบาลไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค เช่นกัน

โดยสรุปแล้ว การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อประเทศไทย เป็นความท้าทายที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทย การดำเนินการของรัฐบาลในการเจรจาและหา มาตรการรองรับจะเป็นปัจจัยสำคัญในการลดผลกระทบและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ 

การเงิน ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP