18 มีนาคม 2568 : ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การลงทุนอย่างยั่งยืน หรือ ESG (Environmental, Social, and Governance) ได้รับความสนใจมากขึ้นทั้งจากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน เนื่องจากเป็นแนวทางการลงทุนที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในระยะยาวและอาจเปิดโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนได้อีกด้วย
ขณะเดียวกันการลงทุนในรูปแบบกองทุนหุ้นระยะยาว ( LTF :Long-Term Equity Fund) เก่า ได้ครบกำหนดการถือครองตามเงื่อนไขทั้งหมดในปีนี้ ได้สร้างแรงกดดันให้เกิดการเทขายหน่วยลงทุนในตลาดหุ้น ส่งผลให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกแนวทางใหม่ Thai ESG Extra หรือ Thai ESGX เพื่อจูงใจให้นักลงทุนต่อยอดหรือโยกย้ายเงินลงทุน LTF เก่าให้คงอยู่ในตลาดหุ้นไทยต่อไป อีกทั้งยังสนับสนุนให้นักลงทุนหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนแบบยั่งยืนด้าน ESG ไปพร้อมๆ กัน
ทั้งนี้ เพื่อให้เข้าใจได้มากขึ้น K WEALTH ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK อธิบายถึง Thai ESG Extra ว่า สำหรับThai ESG Extra (Thai ESGX) คือ กองทุนรวมกลุ่มใหม่ในหมวด “Thai ESG” ที่มุ่งเน้นลงทุนในหลักทรัพย์หรือธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) เช่นเดียวกับกองทุน Thai ESG ที่มีอยู่เดิม แต่เพิ่มเงื่อนไขพิเศษด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีขึ้นมาเป็นการเฉพาะในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญสองประการคือ 1.ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในธุรกิจที่ยั่งยืน 2.กระตุ้นให้เงินลงทุนยังคงหมุนเวียนในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในปี 2568 นี้ LTF ทั้งหมดจะสามารถขายคืนได้ตามเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษี
เหตุผลสำคัญที่ต้องออก Thai ESGX คือ 1.ช่วยประคองตลาดหุ้นไทยในช่วง LTF ครบกำหนด ในปีนี้ LTF ทั้งหมด ครบกำหนดการถือครอง นักลงทุนจึงมีสิทธิขายหน่วยลงทุนออกมาได้อย่างอิสระ ซึ่งได้ส่งผลกระทบให้มีแรงเทขายสูงในตลาดหุ้นไทยและกระทบสภาพคล่องโดยรวม (ปัจจุบัน LTF ที่ยังคงเหลืออยู่รวม 1.88 แสนล้านบาท ข้อมูลจาก AIMC ณ สิ้นม.ค. 2568)
2.ต่อยอดแนวทางการลงทุนอย่างยั่งยืน ภาครัฐและ ก.ล.ต. ต้องการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่คำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นเทรนด์การลงทุนระดับโลกและมองว่าอาจสร้างความยั่งยืนในระยะยาวทั้งต่อบริษัทและตลาดทุนไทย
3.เพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพื่อดึงดูดนักลงทุน การให้สิทธิประโยชน์ภาษีเพิ่มเติมช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันหันมาให้ความสนใจโอนเงินจาก LTF เดิมหรือใส่เงินใหม่เข้าสู่กองทุน ESG มากขึ้น เป็นการผสานเป้าหมายการประคองตลาดหุ้นและขับเคลื่อนแนวคิด ESG ควบคู่กัน
สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ Thai ESGX แม้กองทุนกลุ่ม Thai ESG ปกติจะมีสิทธิลดหย่อนภาษีได้ถึง 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี และต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่กองทุน Thai ESGX เพิ่มความพิเศษขึ้นมา โดยเฉพาะในปี 2568 ดังนี้ 1.เงินลงทุนใหม่ (สำหรับปีภาษี 2568) ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุด 300,000 บาท
คาดว่าจะเปิดให้ลงทุนในช่วง 1 พ.ค. – 30 มิ.ย. 2568 (ระยะเวลา 2 เดือน) ต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปี (นับตั้งแต่วันที่ซื้อ)เงินลงทุน LTF ที่มีอยู่ (กรณีถือครบเงื่อนไขแล้ว) และต้องการประหยัดภาษีต่อ ต้องโอนหน่วย LTF เดิมทั้งหมด ไปกองทุน Thai ESGX ทั้งหมด โดยไม่สามารถโอนบางส่วนได้ และต้องสับเปลี่ยนให้ครบทุกกอง ทุกบลจ. จึงจะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี โดยสิทธิสูงสุดได้ไม่เกิน 500,000 บาท แบ่งเป็นปีแรก (เฉพาะปี 2568) ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท
ส่วนอีก 200,000 บาท ทยอยใช้สิทธิในปีที่ 2 (ปี 2569) ถึงปีที่ 5 (ปี 2572) ได้ปีละไม่เกิน 50,000 บาท (โดยยังคงเงื่อนไขไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และต้องถือหน่วยลงทุนอย่างน้อย 5 ปี ) ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนต้องแจ้งย้ายกองทุนภายใน 2 เดือน หลังจากจัดตั้งกองทุน แต่ไม่เกินเดือน มิ.ย. 2668 เงินลงทุนส่วนที่เกินกว่า 500,000 บาท ทั้งหมด ที่ถูกโอนไปพร้อมกัน ก็จะต้องถือครองอย่างน้อย 5 ปี ด้วยเช่นกัน กรณีมียอด LTF เดิมไม่ถึง 500,000 บาท สามารถใช้สิทธิได้เท่ากับจำนวนที่มีอยุ่เท่านั้น
หลังปี 2568 การลงทุนใหม่เข้ากองทุน Thai ESGX จะใช้วงเงินลดหย่อนเดียวกับ Thai ESG ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป เงินลงทุนใหม่หรือเงินที่เติมเพิ่มเข้าใน Thai ESGX จะใช้อัตราและวงเงินลดหย่อนภาษีร่วมกับกองทุนในกลุ่ม Thai ESG เดิม ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี และต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี เหมือนกองทุน Thai ESG ปกติ