27 มกราคม 2568 : นับจากที่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ทำการแบรนดิ้ง ภายใต้สีบานเย็น (Morning Sunshine) วันนี้เป็นเวลาล่วงมาถึง 21 ปี ซึ่งล่าสุดปี 2562 มีการปรับสีสันของแบรนด์ให้มีความสดใสหรือเป็นการ Refresh Brand เพื่อสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้า พร้อมเปิดตัวสัญลักษณ์แห่งความสุข หรือ “Celebration” ตอกย้ำตัวตนของบริษัทฯ มากยิ่งขึ้น โดยกำหนดสีภายใต้แบรนด์ใหม่ที่หลากหลายขึ้น ดังต่อไปนี้
ความหมายของสีโลโก้ “เมืองไทยประกันชีวิต”
- สีชมพู (Fuchsia) สีของพระอาทิตย์ยามเช้า ที่สื่อถึงความสุข และการไม่ยอมแพ้
- สีฟ้า (Light Blue) สีของท้องฟ้า สื่อถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และความคิดที่สร้างสรรค์
- สีแดง (Red) สีของพลังแห่งความมุ่งมั่นที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้า
- สีขาว (White) สีของความโปร่งใส บริสุทธิ์ และเปิดเผย
- สีน้ำงเงิน (Navy Blue) สีของความมั่นคง ความปลอดภัย และความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ
- สีเขียว (Green) สื่อถึงชีวิต การเจริญเติบโต สุขภาพที่ดี และความอ่อนเยาว์
เมืองไทยเปิดเกมรุกปี 2568 ชูกลยุทธ์ปี 2568 “Boost Your Happiness by Our People”
นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า เป็นเวลา 21 ปีของการรีแบรนด์ภายใต้เรื่อง "ความสุข" เพราะความสุขคือทุกอย่าง "Happiness is Everything" ส่วนปีนี้ 2568 ยังตอกย้ำว่าเราเป็นหนึ่งในยีสต์ชิ้นเล็กๆ ที่เติมเต็มเรื่องการบริหารความเสี่ยง, การออมก่อนสู่สังคมผู้สูงอายุ และการดูแลต้นทุนด้านสุขภาพ จากลูกค้าภายนอกสู่การพัฒนาของทีมงานภายในองค์กร (Outside in) เพื่อตอบโจทย์ความสุขของลูกค้า (Inside out) ได้อย่างครบถ้วน
สำหรับในปี 2568 นี้ เมืองไทยประกันชีวิตยังคงตอกย้ำตัวตนในการเป็นแบรนด์แห่งการสร้างความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง พร้อมยกระดับการส่งมอบความสุขผ่านกลยุทธ์ “Boost Your Happiness by Our People” บูสท์ความสุขของคุณด้วยคนของเมืองไทยประกันชีวิต ด้วยการเดินหน้าพัฒนาองค์กรในทุกภาคส่วน
"สิ่งที่เป็นตัวหลักในการบูสท์ คือ การพัฒนาพนักงาน และฝ่ายขายให้มีความสามารถรอบด้าน เพิ่มทักษะการใช้ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ผสมผสานอยู่ในทุกกระบวนการทำงาน (Data & AI Literacy) ทักษะด้านการสื่อสารและการบริหาร (Soft Skills) ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Expert Knowledge) และความเชี่ยวชาญในหลายมิติ (Cross-Domain Expert Knowledge) ควบคู่ไปกับสร้างความสุขจากภายในองค์กร ให้กับ “คนของเรา” ที่มีความหลากหลายให้ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ “การส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าคนสำคัญ”
โดยคนของเรา…พร้อมส่งมอบความสุขให้แก่ลูกค้าผ่านการวางแผนสำหรับทุกช่วงของชีวิต ทั้งการวางแผนทางการเงิน การวางแผนเกษียณ การวางแผนสุขภาพ และการวางแผนมรดก ด้วยความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต ประกันชีวิตแบบบำนาญ ประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง ประกันอุบัติเหตุ และประกันชีวิตควบการลงทุน รวมถึงฟีเจอร์พิเศษทั้งความยืดหยุ่นด้วยรูปแบบความคุ้มครองที่ปรับแต่งได้ (Modular Design) ความคุ้มครองที่ปรับได้ตามช่วงชีวิตของลูกค้า (Convertible Option) และการเติมเต็มความคุ้มครองที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น (Plus)" นายสาระ กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายร่วมกันคือการส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าทุกท่านด้วยความเป็นมืออาชีพ (Professionalism & Expertise) ความโปร่งใสและความสะดวกสบาย (Transparency & Convenience) และความไว้วางใจ (Commitment & Trust) ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในทุกช่วงชีวิต ประสบการณ์การบริการแบบไร้รอยต่อ (Seamless Experience) และคำมั่นสัญญาตลอดชีวิต (Lifelong Commitment) ผสานกันอย่างลงตัวเพื่อตอบโจทย์ในทุกความเป็นคุณ
พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์เฉพาะบุคคลเพิ่มมากขึ้น ที่สามารถซื้อแยกได้ และเข้าถึงในทุกกลุ่มทั้งด้านแบบประกันและราคา เพื่อเปิดโอกาสให้กับทุกคนสามารถเข้าถึงการทำประกันได้ ส่วนทางด้านผู้ที่เจ็บป่วยบริษัทฯ ก็ยังมีหลักการพิจารณารับประกันเพื่อสามารถเข้าถึงความคุ้มครองได้เช่นกัน ส่วนช่องทางจำหน่ายหลัก คือ ช่องทางตัวแทน ปัจจุบันมีตัวแทนประมาณ 15,000 และคาดว่าปีนี้จะเร่งเพิ่มเป็น 20,000 คน เน้นตัวแทนมีคุณภาพ 50-70% และช่องทางธนาคาร (Bancassurance) เสริมด้วยช่องทางดิจิทัล ตลาดแบบตรง เพื่อความหลากหลายของการเข้าถึงในทุกกลุ่มเป้าหมาย
ประกาศใช้สัญญาประกันสุขภาพร่วมจ่าย Copayment ดีเดย์ 20 มีนาคมศกนี้
นายสาระกล่าวต่อไปถึงประเด็นมีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) ของสัญญาประกันภัยสุขภาพ เมืองไทยประกันชีวิตจะเริ่มนำมาปรับใช้เฉพาะกับลูกค้าใหม่ในวันที่ 20 มีนาคม 2568 สำหรับลูกค้าเดิมไม่มีผลกระทบใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการต่ออายุหรือรูปแบบการคุ้มครองก็ยังคงเดิม โดยรายละเอียดของ Copayment มี 2 ประเภท แบบมีค่าใช้จ่ายส่วนแรก (Deductible) เป็นการระบุตัวเลข เช่น มีการเลือกที่จะจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก 20,000-30,000 50,000 หรือ 100,000 บาท (มีในแบบประกันสำหรับเด็ก ช่วงอายุ 0-5 ปี, 6-10 ปี) และแบบร่วมจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ สูงสุด 30%
อย่างไรก็ดี Copayment ทุกคนก็ยังได้รับความคุ้มครองตั้งแต่บาทแรกอยู่ โดย Copayment จะมีผลก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยเคลมสูงเกิน 200% เท่านั้น เช่นป่วยแบบโรคไม่ร้ายแรง เช่น เป็นหวัด ปวดหัว ตัวร้อน ท้องเสีย ภายใน 12 เดือน หากไม่ได้มีการเคลมเกิน 200% สัญญา Copayment ก็ไม่เกิดขึ้น เท่ากับว่าก็ได้รับความคุ้มครองตั้งแต่บาทแรกเช่นเดิม โดยต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ สรุปคือ ประกันสุขภาพแบบ Copayment เป็นการยิงตรงไปยังคนที่มีเคลมสูง แต่จะไม่กระทบกับผู้ที่ไม่มีเคลม
สำหรับความคืบหน้าของการเข้าถือหุ้นใน บริษัท นายา เรสซิเด้นซ์ จํากัด และ บริษัท ลิฟเวล ลิฟวิ่ง จํากัด บริษัทละ 40% ภายใต้ชื่อ "นายาเรสซิเดนซ์ บาย ลิฟเวล (Naya Residence by LivWell" โครงการที่อยู่อาศัยแนวคิดใหม่เพื่อผู้สูงวัย ในกลุ่มวัยอิสระ แนวคิด "Senior Living" ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากเป็นการตอบโจทย์ความต้องการที่ซับซ้อนของผู้สูงวัยในยุคปัจจุบัน ด้วยรูปแบบการอยู่อาศัยที่ผสมผสานระหว่างความเป็นอิสระและ การดูแลสุขภาพแบบครบวงจร โดยจัดให้มีที่พํานักอาศัย (Independent Living) ซึ่งถูกออกแบบมาสําหรับการใช้ชีวิตของผู้สูงวัยในกลุ่มวัยอิสระโดยเฉพาะ
ขณะนี้ทางทีมงานได้พัฒนาผลิตภัณฑ์กำลังพิจารณาสินค้าแบบสะสมทรัพย์บางแบบ ที่เปิดโอกาสให้นำเงินสะสมในกรมธรรม์โยกไปจ่ายเป็นค่าที่พักอาศัยได้ ล่าสุดนำเสนอแบบประกันที่สามารถปรับให้เหมาะสมเพิ่มขึ้นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)แล้ว คาดว่าจะเริ่มไตรมาสที่ 3-4
ผลงานปี 2567 กวาดเบี้ยรับรวมไปได้ถึง 71,800 ล้านบาท
สำหรับในปี 2567 เมืองไทยประกันชีวิตมีเบี้ยประกันภัยรับรวมกว่า 71,800 ล้านบาท เติบโตมากกว่าปี 2566 โดยมีลูกค้าที่ดูแลมากกว่า 3.8 ล้านคน ส่วนเบี้ยประกันภัยรับใหม่เติบโต 13% ซึ่งเป็นการเติบโต ในกลุ่มสินค้าหลัก อาทิ Shield Life (ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบภายในระยเะเวลาและประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์) เติบโต 42% และแบบประกันคุ้มครอง โรคร้ายแรง (รายเดี่ยว) เติบโต 24% เป็นต้น ด้านคะแนน NPS (Net Promoter Score) สูงขึ้นจาก 58 คะแนน เป็น 75 คะแนน
ขณะที่ธุรกิจในภูมิภาค CLMV ยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่องได้แก่ ประเทศกัมพูชา ภายใต้ชื่อ DARA Insurance มีผลงานบวก 31% และ Suvannaphum Life มีส่วนแบ่งทางการตลาดเติบโต 19% เป็นอันดับ 2 ของอุตสาหกรรม ส่วนประเทศลาว บริษัท S.T. Muang Thai มีผลงานด้านประกันชีวิตเป็นอันดับ 1 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาด 63% ผลตอบแทนเป็นบวก 58% โดยคาดว่าในอนาคตจะมีการแยกบริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัยออกจากกัน ส่วนประเทศเวียดนาม ในนามบริษัท MB Ageas Life เบี้ยปีแรกมีผลงานที่เติบโตเพิ่มขึ้น 6% เป็นอันดับที่ 2 ทางด้าน Bancassurance" นายสาระ กล่าว
โดยบริษัทฯ มีสินทรัพย์ 6.4 แสนล้านบาท มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน ณ สิ้นปี 2567 มากกว่า 350% ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนดที่ 140% บริษัทฯ B รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และความแข็งแกร่งทางการเงินจาก S&P Global Ratings ที่ระดับ BBB+ (Stable Outlook) และ Fitch Ratings ที่ระดับ A- และ AAA(tha) (Stable Outlook)
ธุรกิจประกันชีวิตเป็นธุรกิจที่ให้ความคุ้มครองแก่ลูกค้าในระยะยาว ดังนั้น เมืองไทยประกันชีวิตจึงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกก้าว ภายใต้การกำกับดูแลกิจการ และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงการสร้างสมดุลทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติบรรษัทภิบาล (ESG) โดยเฉพาะในส่วนของมิติสังคม บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าในการพัฒนาแบบประกันภัยที่ช่วยตอบโจทย์การเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกคน (Democratize Insurance) พร้อมสร้างความรู้ด้านการวางแผนการเงินและประกันภัย (Financial & Insurance Literacy) ให้กับประชาชนทั่วไป และการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน
ด้านมิติสิ่งแวดล้อม เมืองไทยประกันชีวิตในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก ได้ร่วมสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนผ่านโลกของเรา ประกาศความมุ่งมั่นในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Commitment) ด้วยเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จากการดำเนินงานของบริษัทฯ (ขอบแขตที่ 1 และ 2)* ภายในปี 2573 (2030) ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานภายในบริษัทฯ
“ในปีนี้เราตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นปีที่ สีบานเย็นจะบานสะพรั่งทั่วประเทศ โดยเมืองไทยประกันชีวิตจะยกระดับความสุขให้กับทุกคน ทั้งลูกค้า พาร์ทเนอร์ พนักงานและฝ่ายขายของเรา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ผ่านผลิตภัณฑ์ บริการ และช่องทางการขายต่าง ๆ สีบานเย็นจะรวมพลังกันอย่างแข็งแกร่ง เพื่อส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้ลูกค้าคนสำคัญของเราทุกคน” นายสาระ กล่าวในที่สุด
หมายเหตุ *คำจำกัดความเรื่องการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ขอบเขตที่ 1 ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรโดยตรง (Direct Emissions) ได้แก่ การเผาไหม้อยู่กับที่ อาทิ เครื่องจักร การเผาไหม้ที่มีการเคลื่อนที่ อาทิ การใช้พาหนะขององค์กร (ที่องค์กรเป็นเจ้าของเอง) และการรั่วซึม/รั่วไหลของสารเคมีจากกระบวนการหรือกิจกรรม เป็นต้น
ขอบเขตที่ 2 ปริมาณก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Energy Indirect Emissions) ได้แก่ การซื้อพลังงานมาใช้ในองค์กร อาทิ พลังงานไฟฟ้า หรือพลังงานนำเข้าอื่น ๆ เช่น ไอน้ำ ความร้อน ความเย็น อากาศอัด เป็นต้น