31 มกราคม 2560 : นายกัมพล ธนาปัญญาวรคุณ ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท ไอท้อปพลัส จำกัด ผู้นำในการให้บริการด้านการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร เผยผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีมีการใช้สื่อออนไลน์ในการทำการตลาดเพิ่มขึ้น 30% ในปี 2559 ที่ผ่านมา 3 อันดับธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีการใช้จ่ายค่าโฆษณาออนไลน์สูงสุด คือ 1) ธุรกิจชิ้นส่วนอะไหล่ 2) ธุรกิจก่อสร้าง และ 3) สินค้าแต่งบ้าน โดยสื่อออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับแรกในกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี คือ 1) Google 2) Facebook และ 3) YouTube การปรับเปลี่ยนเว็บไซต์ให้รองรับการแสดงผลบนสมาร์ทโฟน ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการผ่านทางสมาร์ทโฟนในชีวิตประจำวัน
“หากเปรียบเทียบกับภาพรวมของการใช้สื่อออนไลน์ ในปี 2559 จากผลสำรวจของ DAAT พบว่า การเติบโตของโฆษณาธุรกิจออนไลน์มีมูลค่าราว 9,883 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 22% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ครองตลาดมาเป็นอันดับ 1 ตามด้วย กลุ่มเครื่องประทินผิว และกลุ่มสื่อสาร สื่อออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับแรก คือ 1) Facebook 2) YouTube และ 3) Google ในส่วนของเอสเอ็มอี มีอัตราการเติบโตในการใช้สื่อออนไลน์สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นไปได้ว่าในส่วนของเอสเอ็มอี เริ่มต้นจากการใช้งบสื่อออนไลน์ในจำนวนเงินที่ไม่มากนัก เมื่อมีเอสเอ็มอีเห็นว่าการทำการตลาดออนไลน์มีการเห็นผล จึงได้เพิ่มงบประมาณในการทำโฆษณาสูงขึ้น” นายกัมพลกล่าวเสริม
“ด้วยการทำการตลาดออนไลน์ยังคงทวีความสำคัญและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งการโฆษณาบนสื่อออนไลน์นับว่าเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมและเป็นเครื่องมือหลักของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เนื่องจากช่วยเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้า สามารถเลือกทำได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ดูข้อมูลและซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงมีความแม่นยำ และเป็นสื่อที่ทุกธุรกิจสามารถใช้ได้ วัดผลได้ อาทิ รู้ว่ามีคนโฆษณากี่คน มีคนเห็นเว็บไซต์กี่คนค่าโฆษณาต่อวันเท่าไร มีลูกค้าติดต่อกี่คน ขายสินค้าได้กี่บาท กำไรต่อการทำโฆษณากี่บาท ดังนั้นเอสเอ็มอี จึงควรปรับตัวให้ทัน เลือกใช้เครื่องมือให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และเหมาะสมกับธุรกิจ
ทั้งนี้ แม้ว่าในภาพรวมของการใช้ลื่อออนไลน์ Facebook จะเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2559 ที่ผ่านมา แต่ Google Adwords ยังคงเป็นสื่อที่มีความสำคัญต่อการทำการตลาดออนไลน์ที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม เนื่องจากเครื่องมือแต่ละชนิดจะมีจุดเด่นที่ต่างกัน ซึ่งต้องเลือกให้เหมาะกับธุรกิจและพฤติกรรมของผู้บริโภค โดย Google Adwords จะเน้นเทคนิคคำค้นหา (Keywords) โดยต้องมีการวิเคราะห์ให้เหมาะสมกับประเภทธุรกิจ ตรงกลุ่มเป้าหมาย, เทคนิคการประมูล(bid) คำหลัก (Keywords) เพื่อให้งบประมาณคุ้มค่าที่สุด, เทคนิคการกรองคำหลัก (Negative keywords) โดยไม่ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย, เทคนิคการปรับแต่งตำแหน่งโฆษณา (Advertise Average Position)เพื่อผลลัพธ์สูงสุด เป็นต้น ในขณะที่โฆษณาบน
Facebook นั้น จะแข่งขันกันที่การจัดการกับ Facebook Content Admin คือ การสร้างจุดต่างของ Fanpage ด้วยเนื้อหาและรูปภาพใหม่ๆ สไตล์เฉพาะของธุรกิจ เพื่อให้เกิดEngagement กับผู้ติดตาม ดังนั้นเพื่ออุดช่องว่างทางการตลาด ผู้ประกอบการควรเลือกใช้เครื่องมือให้ครอบคลุมกับพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของการทำการตลาดออนไลน์ เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ พร้อมต่อการแข่งขันอย่างดุเดือดบนโลกการตลาดยุคดิจิทัล เพื่อขยายธุรกิจสู่ความสำเร็จสูงสุด และแข่งขันได้ในระดับสากล” นายกัมพลกล่าว
นายกัมพล กล่าวเพิ่มเติมว่า จากปีที่ผ่านมาอุปสรรคหนึ่งของการทำการตลาดออนไลน์ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี คือ การมีเว็บไซต์ที่ไม่รองรับการแสดงผลบนสมาร์ทโฟน โดยจากผลสำรวจในปีที่ผ่านมาพบว่า การใช้อินเตอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนมีมากถึง 85.5% เฉลี่ย 6.2 ชั่วโมงต่อวัน แม้ว่าไอท้อปพลัสได้มีการแนะนำผู้ประกอบการให้ปรับตัวตอบรับพฤติกรรมดังกล่าวแล้ว แต่ยังพบว่ามีเพียง 42% ของเว็บไซต์ทั้งหมด ที่เปลี่ยนเว็บไซต์ให้รองรับการแสดงผลบนสมาร์ทโฟน เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค ผู้ประกอบการจึงควรเร่งการปรับแก้เว็บไซต์เดิมให้รองรับการแสดงผลบนสมาร์ทโฟนโดยเร่งด่วน
“แต่หากเว็บไซต์ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังคงเป็นรูปแบบเดิม ก็จะถูกลดอันดับในการแสดงผลหน้าแรก ตามนโยบายของ Google ในสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ ดังนั้นการมีเว็บไซต์ที่รองรับการแสดงผลบนสมาร์ทโฟนจะเป็นการเพิ่มอากาสในการได้รับการการแสดงผลหน้าแรกของ Google นับเป็นการสร้างโอกาสทางการขายเพิ่มมากขึ้น เพื่อการทำโฆษณาออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมต่อการก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ” นายกัมพลกล่าวทิ้งท้าย