27 มกราคม 2560 : ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ 12 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ พัทลุง นราธิวาส ยะลา สงขลา ปัตตานี ตรัง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร ระนอง กระบี่ และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งขณะนี้หลายจังหวัดยังมีน้ำท่วมขังและหลายจังหวัดถูกน้ำท่วมเป็นระลอกที่ 2 ส่งผลให้ประชาชนได้รับผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สินและพืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ออกมาตรการ 7 ข้อ ด้านประกันภัยเพื่อเป็นการใช้ระบบประกันภัยเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมครั้งนี้แล้ว รวมถึงให้บริษัทประกันภัยสรุปรายงานความเสียหาย การจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ส่งให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สำนักงานคปภ.ทุกวันศุกร์
โดยข้อมูลล่าสุด (วันที่ 26 มกราคม 2560) พบว่ามีความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน 1,856 รายการ ประเมินความเสียหาย 559,961,758 บาท โดยรถยนต์ที่ทำประกันภัยได้รับความเสียหาย 1,631 คัน ประเมินความเสียหาย 139,272,122 บาท ประกันภัยการเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR) 104 ราย ประเมินความเสียหาย409,164,593 บาท ประกันอัคคีภัย (ที่อยู่อาศัยที่ให้ความคุ้มครองภัยน้ำท่วม) 69 ราย ประเมินความเสียหาย 3,911,334 บาท ประกันอัคคีภัย (อาคารพาณิชย์/SME) 49 ราย ประเมินความเสียหาย 7,363,708 บาท ประกันชีวิตและประกันอุบัติเหตุ (PA) 3 ราย ประเมินความเสียหาย 250,000 บาท
เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า กรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองกรณีน้ำท่วม ได้แก่ กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย และซื้อความคุ้มครองภัยธรรมชาติเพิ่มเติม กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยแบบประหยัดสำหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจ (ประเภท 1) หรือกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจประเภทอื่นที่ซื้อความคุ้มครองภัยน้ำท่วมหรือภัยธรรมชาติเพิ่มเติมและกรมธรรม์ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR) รวมถึงกรมธรรม์ประกันชีวิต
ทั้งนี้ จากข้อมูลความเสียหายในครั้งนี้จะเห็นได้ว่ารถยนต์ที่ทำประกันภัยได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และชุมพร ซึ่งถูกน้ำท่วมเป็นระลอกที่ 2 ดังนั้นตนจึงได้กำหนดให้สำนักงาน คปภ.ภาค 8 (สุราษฎร์ธานี) และ สำนักงาน คปภ. ภาค 9 (สงขลา) ตั้งศูนย์ประสานงานและจัดชุดโมบายเคลื่อนที่ โดยสำนักงานคปภ.ภาค 8 (สุราษฎร์ธานี) ให้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนด้านประกันภัยในทุกจังหวัดที่รับผิดชอบ และให้จัดหน่วยเคลื่อนที่ไปดำเนินการร่วมกับสำนักงานคปภ.จังหวัดชุมพร และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ส่วนสำนักงานคปภ.ภาค 9 (สงขลา) ให้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนด้านประกันภัยในทุกจังหวัดที่รับผิดชอบ รวมทั้งให้จัดหน่วยเคลื่อนที่ไปดำเนินการร่วมกับสำนักงานคปภ.จังหวัด โดยให้ผู้อำนวยการสำนักงานคปภ.ภาค 9 เป็นหัวหน้าทีมหน่วยเคลื่อนที่ไปปฏิบัติงานร่วมกับผู้อำนวยการสำนักงานคปภ.จังหวัดนครศรีธรรมราช และอีกชุดให้จัดทีมหน่วยเคลื่อนที่ โดยให้ไปดำเนินการร่วมกับผู้อำนวยการสำนักงานคปภ.จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
นอกจากนี้ การซ่อมรถยนต์ให้ยึดถือแนวปฏิบัติตามมาตรฐานการซ่อมรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วม ซึ่งแบ่งเป็น 5 ระดับ คือ ระดับ A น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ ประเมินค่าซ่อม 8,000-10,000 บาท มีรายการที่ต้องดำเนินการ 15 รายการ เช่น ตรวจสอบแบ็ตเตอรี่ (ถอดขั้ว/ตรวจสอบน้ำกลั่น/ไฟ-ชาร์ท) ทำความสะอาดตัวรถ ล้าง-อัด-ฉีด ขัดสี ถอดเบาะนั่ง หน้า-หลัง ถอดคอนโซลกลาง (คันเกียร์) ถอดพรมในเก๋ง-ซักล้าง-ตาก-อบแห้ง ถอดคันเร่ง (รถที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าและเซ็นเซอร์) ถอดลูกยางอุดรูพื้นรถและทำความสะอาด ล้างทำความสะอาดห้องเครื่อง-เป่าแห้ง ตรวจสอบทำความสะอาดระบบเบรก 4 ล้อ/ผ้าเบรก ทำความสะอาดสายไฟ-ปลั๊กไฟด้วยน้ำยาเคมีภัณฑ์ ตรวจสอบชุดท่อพักไอเสีย (แคทธาเรติค)
ระดับ B น้ำท่วมถึงเบาะนั่ง ประเมินค่าซ่อม 15,000 -20,000 บาท มีรายการที่ต้องดำเนินการ 26 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก 15 รายการในระดับ A คือ การถ่ายน้ำมันเครื่อง-เกียร์-เฟืองท้าย กรองน้ำมันเครื่อง- กรองอากาศ-กรองเบนซิน-กรองโซล่า ตรวจระบบจุดระเบิด หัวเทียน จานจ่าย หัวฉีด ตรวจสอบชุดเพลาขับ ถอดทำความสะอาดแผงประตูทั้ง 4 บาน ตรวจชุดสวิทซ์สตาร์ท-กล่องควบคุมไฟ- กล่องฟิวส์ ถอดทำความสะอาดไล่ความชื้นระบบเข็มขัดนิรภัย ถอดทำความสะอาดชุดมอเตอร์ยกกระจกไฟฟ้า ตรวจสอบทำความสะอาดเบาะ ถอดทำความสะอาด(ไดร์สตาร์ทและไดร์ชาร์จ) เพื่อไล่ความชื้น
ระดับ C น้ำท่วมถึงส่วนล่างของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อม 25,000-30,000 บาท มีรายการที่ต้องดำเนินการ 39 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก ระดับ A และ B คือ ตรวจสอบชุดอีโมไรท์เซอร์/ระบบ GPS (ที่ติดมากับรุ่นรถ) ตรวจสอบไล่น้ำออกจากเครื่องยนต์ ท่อไอดี ห้องเผาไหม้ ตรวจสอบลูกปืนไดชาร์ท ลูกรอก ตรวจสอบทำความสะอาดระบบไฟส่องสว่าง (ไฟหน้า-ท้าย-เลี้ยว) ตรวจเช็คระบบขับเลี้ยวไฟฟ้า ถอดตรวจเช็คตู้แอร์ มอเตอร์ โบวเวอร์ เซ็นเซอร์ ถอดหน้าปัดเรือนไมล์ เกจ์ ถอดตรวจเช็คระบบไฟฟ้าและสายไฟขั้วต่างๆ ตรวจเช็คระบบเครื่องเสียง-วิทยุ-แอมป์-ลำโพง ตรวจเช็คระบบเบรก (ABS) ตรวจชุดหม้อลมเบรก/ แม่ปั้มบน-ล่าง ตรวจสอบลูกปืนล้อ-ลูกหมาก-ลูกยางต่างๆ ผ้าหลังคา/แมกกะไลท์
ระดับ D น้ำท่วมถึงส่วนบนของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อมเริ่มต้นที่ 30,000 บาทขึ้นไป มีรายการที่ต้องดำเนินการ 40 รายการ โดยเพิ่มเติมจาก ระดับ A – C มา 1 รายการ คือ ทำสี (กรณีสีรถได้รับความเสียหาย) ซึ่งในกรณีนี้ทางบริษัทผู้รับประกันภัยอาจพิจารณาคืนทุนประกันภัยให้กับผู้เอาประกันภัยก็ได้
ระดับ E รถยนต์จมน้ำทั้งคัน ซึ่งในกรณีนี้บริษัทผู้รับประกันภัยจะคืนทุนประกันภัยให้กับผู้รับประกันภัยสถานเดียว ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186 หรือ www.oic.or.th