14 สิงหาคม 2567 : วิจัยกรุงศรี ประเมิน เศรษฐกิจไทยถึง อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี คาดธปท.ตรึงดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่เหลือของปี ด้านความเชื่อมั่นการบริโภคลดลงต่อเนื่อง
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกรกฏาคมขยับขึ้นเข้าใกล้ขอบล่างของกรอบเป้าหมาย คาดกนง.คงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 21 สิงหาคมนี้ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกรกฏาคมอยู่ที่ 0.83% YoY เพิ่มขึ้นจาก 0.62% ในเดือนมิถุนายน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในกลุ่มเบนซินและแก๊ซโซฮอล์ ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในกลุ่มอาหาร โดยเฉพาะข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว และอาหารสำเร็จรูป ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) อยู่ที่ 0.52% เพิ่มขึ้นจาก 0.36% ในเดือนมิถุนายน สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 0.11% และ 0.42% ตามลำดับ
แม้อัตราเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมจะขยับขึ้นเข้าใกล้ขอบล่างของกรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย (ที่ 1-3%) แต่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมอาจชะลอลง เนื่องจากผลของฐานที่สูงในเดือนเดียวกันปี 2566 อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นและกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ วิจัยกรุงศรียังคงคาดการณ์เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2567 ไว้ที่ 0.7% โดยแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าขึ้นอยู่กับความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจากผลกระทบของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีความไม่แน่นอน และการดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพทางด้านราคาพลังงานในประเทศที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง ล่าสุดทางการขยายเวลาตรึงเพดานราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 33 บาทต่อลิตร จนถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้
สำหรับมุมมองด้านดอกเบี้ยนโยบาย วิจัยกรุงศรีคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ในการประชุมวันที่ 21 สิงหาคมที่จะถึงนี้ และมีแนวโน้มที่จะตรึงไว้ในช่วงเหลือของปี ปัจจัยหนุนจาก (i) อัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงไตรมาส 4 (ii) ธปท.ระบุว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวเข้าสู่ระดับศักยภาพ และอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ประเมินไว้ (Outlook dependent)
และ (iii) ธปท.กล่าวถึงความจำเป็นในการใช้นโยบายแบบเจาะจงเป้าหมาย (targeted policy) ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาคการผลิตที่มีปัญหาเชิงโครงสร้าง และเผชิญการแข่งขันจากต่างประเทศที่รุนแรงขึ้น รวมทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ความเห็นดังกล่าวบ่งชี้ว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยซี่งเป็นนโยบายผ่อนคลายแบบวงกว้าง (Broad-based policy) จึงยังไม่น่าจะเป็นเครื่องมือหลักในการหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้
แรงส่งการเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนอาจแผ่วลง สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกรกฏาคมลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือน โดยลดลงแตะ 57.7 ในเดือนกรกฎาคม จาก 58.9 ในเดือนมิถุนายน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับ (i) ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวช้า (ii) ค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้นไม่สอดคล้องกับรายได้ (iii) เสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ และ (iv) ความผันผวนของราคาน้ำมันที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในทิศทางขาลงและแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 สะท้อนแรงส่งการบริโภคภาคเอกชนที่อาจชะลอตัวลง หลังจากที่เติบโตค่อนข้างสูงในไตรมาสแรกที่ผ่านมา สอดคล้องกับเครื่องชี้จากธปท. ที่ระบุว่าดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนมิถุนายนแผ่วลงจากเดือนก่อน (-0.2% MoM sa เทียบกับ 0% ในเดือนพฤษภาคม) ตามการลดลงของการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทน สำหรับในช่วงที่เหลือของปี คาดว่าจะมีปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนการบริโภคได้บ้างจาก (i) การเติบโตของภาคท่องเที่ยว รวมถึงมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านการท่องเที่ยวเมืองรอง
และ (ii) มาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน อาทิ การตรึงอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชนทั่วไปที่ 4.18 บาท/หน่วย ถึงสิ้นปี 2567 และการขยายเวลาตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตาม การเติบโตของการบริโภคยังเผชิญข้อจำกัด จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งรายได้ที่แท้จริงซึ่งเติบโตช้าและข้อมูลล่าสุดเพิ่งแตะระดับก่อนโควิด ทั้งนี้ ยังต้องติดตามความคืบหน้าโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัล วอลเล็ต แม้ล่าสุดรัฐบาลระบุจะสามารถใช้จ่ายได้ในกลางไตรมาสสุดท้ายของปีนี้