2 สิงหาคม 2567 : การเก็บออมและลงทุนของ “ทองคำ” เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ผู้คนหันมาเก็บออมทองแทนการเก็บออมเงิน เนื่องจากมูลค่าของทองเพิ่มขึ้นในขณะที่มูลค่าของเงินสดลดลง โดยจากข้อมูลราคาทองคําแท่งในประเทศไทยชนิด 96.5% เริ่มตั้งแต่ปี 2563 ถึงปีปัจจุบัน 2567 (ในเดือนกรกฎาคม) ดังนี้
- ในปี 2563 ราคาทองคําแท่งของประเทศไทย ในเดือนมกราคม – ธันวาคม มีราคาต่ำสุด 21,450 บาท ราคาสูงสุดมากขึ้น 30,400 บาท ราคาขึ้นของปี 2563 รวมทั้งหมด +5,300 บาท
- ในปี 2564 ราคาทองคําแท่งของประเทศไทย ในเดือนมกราคม – ธันวาคม มีราคาต่ำสุด 24,450 บาท ราคาสูงสุดมากขึ้น 28,950 บาท ราคาขึ้นของปี 2564 รวมทั้งหมด +1,800 บาท
- ในปี 2565 ราคาทองคําแท่งของประเทศไทย ในเดือนมกราคม – ธันวาคม มีราคาต่ำสุด 28,250 บาท ราคาสูงสุดมากขึ้น 32,100 บาท ราคาขึ้นของปี 2565 รวมทั้งหมด +1,200 บาท
- ในปี 2566 ราคาทองคําแท่งของประเทศไทย ในเดือนมกราคม – ธันวาคม มีราคาต่ำสุด 29,650 บาท ราคาสูงสุดมากขึ้น 34,400 บาท ราคาขึ้นของปี 2566 รวมทั้งหมด +3,800 บาท
- ในปี 2567 ราคาทองคําแท่งของประเทศไทย ในเดือนมกราคม – กรกฎาคม (ถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2567) มีราคาต่ำสุด 33,400 บาท ราคาสูงสุดมากขึ้น 42,150 บาท ราคาขึ้นของปี 2567 รวมทั้งหมด +7,950 บาท
จะเห็นได้ว่าราคาทองคำของแต่ละปีมีการปรับขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ทองคำนั้นเป็นหนึ่งสิ่งที่น่าซื้อเก็บออมไว้หรือเลือกที่จะลงทุนซื้อ-ขายก็ย่อมได้
ข้อมูลจาก ทองคําราคา.com/เปรียบเทียบราคาทองปี-55-56-57-และ-58/
ปัจจัยใดที่มีผลต่อการขึ้น – ลงของราคาทองคำ?
จากข้อมูลข้างต้นราคาทองในแต่ละปีมีการปรับขึ้น - ลงอยู่ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของโลก ไม่เพียงแต่แค่สภาวะเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับว่าราคาตลาดโลกในเวลานั้นปรับเปลี่ยนไปทิศทางไหนอีกด้วย โดยเว็บของออโรร่าได้เผยถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ราคาทองคำปรับเปลี่ยนได้ มีดังนี้
1. ปัจจัยของอัตราดอกเบี้ยที่มีผลต่อทองคำ
โดยมีนักลงทุนที่ต้องการซื้อทองคำเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ปริมาณทองคำที่มีอยู่ภายในประเทศไม่เพียงพอ จึงต้องนำเข้าทองคำจากต่างประเทศ ทำให้มีอัตราดอกเบี้ย จากค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการนำเข้าและส่งออกทองคำ รวมไปถึงค่าขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยธนาคาร ค่าความเสี่ยง หรือค่าประกันภัยต่างๆ
2. ปัจจัยของค่าเงินดอลลาร์ที่มีผลต่อทองคำ
เงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินที่มีคนใช้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นสื่อกลางที่ใช้ในการซื้อ - ขาย ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มีความผันผวนกับราคาทองคำ หากค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง ราคาทองคำมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น แต่ถ้าเงินดอลลาร์แข็งตัว ราคาทองคำจะมีการปรับตัวลดลง
3. ปัจจัยของราคาน้ำมันที่มีผลต่อทองคำ
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำคือ “ราคาน้ำมัน” ซึ่งราคาน้ำมันเป็นตัวที่ทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อ โดยสภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นกับราคาทองคำนั้นจะไปในทิศทางเดียวกัน เช่น หากราคาน้ำมันมีการปรับสูงขึ้น สภาวะเงินเฟ้อก็จะสูงขึ้น รวมไปถึงราคาทองคำก็จะถูกปรับสูงขึ้นเช่นกัน แต่หากราคาน้ำมันมีการปรับลดลง สภาวะเงินเฟ้อก็จะลดลง รวมไปถึงราคาทองคำก็จะถูกปรับลดลงเช่นกัน
4. ปัจจัยของ Demand และ Supply หรือความต้องการที่มีผลต่อทองคำ
Demand หรือ อุปสงค์ คือความต้องการในทองคำที่มาจาก ภาคเครื่องประดับ ภาคการลงทุน และภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการแพทย์ รวมไปถึงการที่ภาครัฐของแต่ละประเทศ หากต้องการที่จะซื้อทองคำที่สูง จะส่งผลให้ราคาทองคำปรับสูงขึ้น แต่หากมีความต้องการซื้อทองคำลดลง ราคาทองคำก็จะถูกปรับลดลงด้วยเช่นกัน
Supply หรือ อุปทาน คือ ความต้องการขายทองคำ ที่มาจาก ผลผลิตทองคำที่มาจากเหมืองทอง แรงขายจากธนาคารกลางของแต่ละประเทศ และสุดท้ายปริมาณทองคำเก่าๆที่มีการหมุนเวียนอยู่ในระบบ Demand และ Supply หรือความต้องการภายในประเทศไทย จะพิจารณาจากอัตรา Gold Spot และค่าเงินบาทของไทย
ดังนั้น ราคาทองคำจะขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร จึงทำให้ต้องดูถึงปัจจัยต่างๆในปัจจุบันอีกด้วย
ข้อมูลจาก www.aurora.co.th/news/page_news/205/ส่องปัจจัยที่มีผลต่อการขึ้น---ลงของราคาทองคำ.html
ทำไม “ทองคำ” ถึงน่าลงทุน?
ทองคำนั้นเป็นโลหะที่มีความงดงาม และเป็นสิ่งที่มีมูลค่าค่อนข้างที่จะสูงเลยทีเดียว ซึ่งการลงทุนทองคำนั้นถือเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย นอกจากทองคำจะสามารถเป็นสินทรัพย์ลงทุนหลักในพอร์ตลงทุนแล้ว ยังเป็นทางเลือกการลงทุนในสินทรัพย์อื่น เพื่อกระจายความเสี่ยงด้วย จากข้อมูล สภาทองคำโลก มีรายงานว่าสิ้นปี 2565 ว่าประเทศไทยมีทุนสำรองที่เป็นทองคำ 244.16 ตัน จะเห็นได้ว่าประเทศไทยซื้อทองคำเข้าทุนสำรองระหว่างประเทศ เพิ่มมากที่สุดในเอเชียในรอบ 10 ปี เพิ่มจาก 152.41 ตันในปี 2556 ดังนั้น ทองคำ จึงมีลักษณะที่เป็นทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค และสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่มีมูลค่าที่ค่อนข้างสูงอีกด้วย ถ้าหากถามว่า ทองคำนั้นน่าลงทุนมากน้อยแค่นั้น set ได้เผยถึง 3 เหตุผลที่ควรลงทุนทองคำ มีดังนี้
1. ผลตอบแทนระยะยาวและเอาชนะเงินเฟ้อ
เมื่อเดือนมกราคมปี 2514 – ธันวาคมปี 2565 จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนจากทองคำเฉลี่ย 7.78% ต่อปี สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาที่เฉลี่ย 3.70% ต่อปี และในปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ทองคำให้ผลตอบแทนเป็นบวก แต่ดัชนี S&P 500 สวนทางกันคือผลตอบแทนส่วนใหญ่ออกที่เป็นติดลบ มีดังนี้
วิกฤติราคาน้ำมัน ปี 2516 มีผลตอบแทนทองคำอยู่ที่ 76% และดัชนี S&P 500 ผลตอบแทนดันติดลบอยู่ที่ -13% เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาถดถอย จากการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด ปี 2524 มีผลตอบแทนทองคำอยู่ที่ 23% และดัชนี S&P 500 ผลตอบแทนอยู่ที่ 13%
- วิกฤติเศรษฐกิจญี่ปุ่น ปี 2533 มีผลตอบแทนทองคำอยู่ที่ 1% และดัชนี S&P 500 ผลตอบแทนอยู่ที่ 5%
- วิกฤติดอทคอม ปี 2544 มีผลตอบแทนทองคำอยู่ที่ 24% และดัชนี S&P 500 ผลตอบแทนดันติดลบอยู่ที่ -15%
- วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2551 มีผลตอบแทนทองคำอยู่ที่ 60% และดัชนี S&P 500 ผลตอบแทนดันติดลบอยู่ที่ -31%
- วิกฤติ COVID-19 ปี 2563 มีผลตอบแทนทองคำอยู่ที่ 7% และดัชนี S&P 500 ผลตอบแทนดันติดลบอยู่ที่ -10%
จึงทำให้เห็นว่าทองคำสร้างผลตอบแทนอย่างความสม่ำเสมอถึงแม้จะอยู่ในช่วงภาวะ วิกฤติเศรษฐกิจก็ตาม
2. มีความปลอดภัยในช่วงวิกฤติ
ทองคำถูกจัดเป็นสินทรัพย์แห่งความปลอดภัย คือ การที่นักลงทุนเชื่อว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะในภาวะวิกฤติที่จะเห็นข้างต้นว่าแม้ ดัชนี S&P 500 จะติดลบก็ตาม แต่ทองคำนั้นยังให้ผลตอบแทนอยู่
3. สภาพคล่องสูงและรูปแบบการลงทุนหลากหลาย
สภาพคล่องของทองคำนั้นมีการซื้อขายที่ค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นสินทรัพย์มีค่าเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้ในทุกประเทศทั่วโลก จึงเหมาะกับรูปแบบที่ซื้อมาเก็บและก็ขายได้ตามเวลาที่เราต้องการเงินสดได้
ข้อมูลจาก www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/365-tsi-why-it-is-important-to-invest-in-gold
เทคนิคเบื้องต้นวางแผนลงทุนทองคำอย่างไรให้ได้กำไร
จะเห็นได้ว่าจากสถิติราคาทองมีราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะมีการปรับลงนิดหน่อย แต่ก็ไม่มาก ซึ่งอดีตทองคำเป็นสิ่งที่งดงามมาก คนไทยจึงซื้อทองคำเพื่อนำมาเป็นเครื่องประดับ แต่ใน ณ ปัจจุบันคนไทยมองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ลงทุนประเภทหนึ่ง โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ลงทุนยอดนิยม เนื่องจาก “ผลตอบแทนจากราคา” (Capital Gain) ที่สามารถทำกำไรระยะสั้นได้สูง จึงทำให้เริ่มแบ่งเงินลงทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่นมาลงทุนทองคำเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการลงทุนทองคำมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน จึงมีเทคนิคเบื้องต้นสำหรับใครที่กำลังวางแผนลงทุนทองต้องรู้ มีดังนี้
1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนทองคำ
ข้อมูลขั้นพื้นฐานให้เข้าใจก่อนวางแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเอง เช่น ราคาทองคำจะขึ้นอยู่กับความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ , ซื้อขายทองคำแท่งที่มีราคาต่ำกว่า 5 บาทจะต้องเสียค่ากำเหน็จ , สามารถใช้ตั๋วสัญญาแทนการครอบครองทองคำแท่งที่อาจก่อให้เกิดอันตรายในการครอบครองได้ ฯลฯ
2. กำหนดระยะเวลาการลงทุนให้ชัดเจน
จากข้างต้นราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าจะสามารถสร้างกำไรจากการลงทุนทองคำได้ แต่ระยะเวลาของการลงทุนก็สำคัญ เราต้องการลงทุนทองในระยะสั้น หรือระยะยาวตามความต้องการของเราเอง มีข้อควรระวังดังนี้
ข้อควรระวังสำหรับนักลงทุนที่มีเป้าหมายต้องการถือระยะสั้น คือ ราคาทองคำที่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็วอาจทำให้มีแรงเทขายเพื่อทำกำไร อาจจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากจับจังหวะลงทุนผิดพลาด หรือราคาทองคำไม่ได้ปรับขึ้นไปตามที่คิดไว้ ทำให้นักลงทุนที่มีเป้าหมายลงทุนระยะสั้นหรือแค่เก็งกำไรต้องถือทองคำต่อไป และกลายเป็นนักลงทุนระยะยาวโดยไม่ได้ตั้งใจ
ขณะเดียวกัน ข้อควรระวังสำหรับนักลงทุนที่มีเป้าหมายต้องการถือระยะยาว คือเพื่อเป็นเก็บแทนเงินสด และเก็บไว้ใช้จ่ายยามเกษียณอายุ อีกทั้งยังเป็นมรดกไว้ให้ลูกหลานอีกด้วย แต่เมื่อเจอราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจตัดสินใจขายเพื่อที่จะทำกำไร หลังจากนั้นก็หาจังหวะที่ซื้อ เมื่อราคาทองคำปรับลดลง
3. เลือกรูปแบบการลงทุนให้เหมาะสม
กลุ่มเป้าหมายของทองคำ คงหนีไม่พ้นนักลงทุนทองคำ ซึ่งรูปแบบการลงทุนมีความหลากหลาย โดยนักลงทุนต้องรูปแบบให้เหมาะกับการลงทุนทองคำที่แตกต่างกัน ถ้าหากเลือกรูปแบบการลงทุนไม่ถูกอาจจะส่งผลให้ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามที่วางไว้หรืออาจถึงขั้นขาดทุน โดยมีรูปแบบการลงทุนดังนี้
สำหรับนักลงทุนระยะสั้น ควรเลือกลงทุนใน Gold ETFs นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ในตลาดหุ้น ทราบราคาทองคำที่ซื้อขายได้ทันที และอีกส่วนนึงคือ Gold Futures เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าในตลาดอนุพันธ์ ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งในช่วงที่ราคาทองคำเป็นขาขึ้นและขาลงได้
ส่วนนักลงทุนระยะยาว ควรเลือกลงทุนในรูปแบบ กองทุนรวมทองคำที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ซึ่งกองทุนรวมทองคำส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีนโยบายลงทุนในกองทุน SPDR Gold Trust จุดเด่นความปลอดภัยในการเก็บรักษาและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนระหว่างการลงทุน และการลงทุนในทองคำแท่ง จุดเด่นถือทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ต้องมีการเก็บรักษาทองคำเป็นอย่างดี
4. กลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับระยะเวลาลงทุน
ลงทุนทองคำจะมีกลยุทธ์สำหรับนักลงทุนระยะสั้นและระยะยาวที่มีความแตกต่างกัน
การลงทุนระยะสั้น : ซึ่งเน้นการเก็งกำไร ควรมีการกำหนดจุดซื้อและจุดขายทองคำที่ชัดเจน เช่น สมมติว่าราคาทองคำมีการปรับลดลงมาสู่ระดับต่ำกว่าต้นทุนมายังระดับราคาที่กำหนดไว้เพื่อขายตัดขาดทุน นักเก็งกำไรที่มีวินัยก็จะขายทองคำที่ราคาดังกล่าว เพื่อให้มีเงินลงทุนในการเก็งกำไรครั้งใหม่ต่อไป
การลงทุนระยะยาว : สามารถลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน การซื้อทองคำแบบสม่ำเสมอทุกเดือนด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆ กัน เป็นการสร้างวินัยในการลงทุนและช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนทองคำได้
ข้อมูลจาก www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/85-tsi-how-to-invest-in-gold-for-the-highest-return , https://krungthai.com/th/financial-partner/learn-financial/1739
จากการสัมภาษณ์ คุณปรีชานนท์ มดทอง ผู้ชื่นชอบการซื้อและลงทุนเกี่ยวกับทองคำ กล่าวว่า จุดเริ่มต้นจากทางบ้านได้ซื้อทองคำให้ตั้งแต่ยังเด็กจนถึงปัจจุบันจึงทำให้มีความสนใจ และศึกษาในการลงทุนเกี่ยวกับทองคำเป็นสิ่งที่ได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง ตนมีมุมมองที่ว่าเก็บทองมากกว่าเงินสด เพราะส่วนตัวคิดว่าถ้าเก็บเงินสดนั้น ด้วยอัตราเงินเฟ้อ จะทำให้เงินสดด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ การที่เก็บทองนั้นมักจะมูลค่าในตัวของทองคำเอง
อีกทั้งยังการออมทองคำกับแอปพลิเคชั่นหนึ่งที่สามารถซื้อทองคำเก็บไปได้ตลอดวัน ด้วยตามราคาทอง ณ วันนั้น หากซื้อน้ำหนักทองไปถึง 1 บาท สามารถไปถอนทองไว้กับตัวได้ อย่างเช่น สมมติว่าซื้อทองราคา 1,000 บาท น้ำหนักที่จะได้ 0.2 กรัม หากเก็บครบตามน้ำหนักทองที่กำหนดไว้ สามารถถอนเป็นทองคำทองออกมาได้ ซึ่งในแต่ละวันราคาก็จะแตกต่างกัน จึงทำให้การที่จะเข้ามาลงทุนเกี่ยวกับทองนั้นต้องมีการศึกษาเรื่องทองคำก่อน โดยปัจจัยหลายอย่างส่งผลกระทบต่อราคาทองมาก มีการขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา
“จึงสรุปได้ว่าทองคำก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่น่าลงทุน เพราะเป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายไม่ใช่เรื่องยาก โดยการลงทุนต้องพิจารณาจากตลาดโลก และสภาวะเศรษฐกิจก่อนที่จะลงทุน เพราะการลงทุนในแต่ละอย่างมีความเสี่ยงต้องศึกษาก่อนลงทุน” คุณปรีชานนท์
ขณะเดียวกัน คุณคณิศรา พอจิต นักสะสมทองคำ ได้เผยว่า จุดเริ่มต้นจากฟุ่มเฟือยและใช้เงินเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ต้องมีการศึกษารูปแบบหุ้นและการลงทุนทองคำ จึงเลือกที่จะเก็บ-ซื้อทองคำ โดยรูปแบบการเก็บคือ ทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ แหวน และสร้อย คิดว่าในอนาคตราคาของทองนั้นจะไม่ลดลงมาก จึงมีการซื้อเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน หากต้องการขายทอง จะต้องดูราคาทองของตลาดมีการขึ้นหรือลง เพราะจะได้ขายไม่ขาดทุน
“เป้าหมายของการเก็บทองคือ หากมีเงินก้อนจะซื้อทองคำเก็บไว้เลยเพราะโดยส่วนตัวแล้วมีความชื่นชอบทองคำเป็นอย่างมาก คาดหวังว่าในอนาคตคิดว่าทองคำจะราคาจะขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้นทำให้ตนมีการศึกษาการลงทุนเกี่ยวกับทองคำอยู่ตลอดเวลาในทันยุคทันสมัย” คุณคณิศรากล่าว
จึงสรุปได้ว่า ทองคำ ยังเป็นช่องทางที่น่าลงทุน เพราะเป็นสิ่งที่เข้าใจง่าย ส่วนการลงทุนด้านอื่นๆ นั้นต้องพิจารณาจากตลาดโลก และสภาวะเศรษฐกิจหลายปัจจัยก่อนที่จะลงทุน..วันนี้คุณเก็บออม "ทองคำ" หรือยัง..