30 กรกฎาคม 2567 : ผ่านมาครึ่งปีแล้ว พอร์ตการลงทุนของหลายๆ คนยังลุ่มๆ ดอนๆ เพราะปีนี้มีปัจจัยบวกและปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่สมดุลกันมากนัก ทำให้พอร์ตลงทุนทั้งลงทุนโดยตรงและลงทุนทางอ้อม เจ็บแปลบไปถึงหัวใจ โดยเฉพาะในยุคของ AI ด้วยแล้ว มีผลต่อการลงทุนไม่น้อย
แม้แต่ นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Private Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCB ถึงกับเอ่ยว่า บนถนนแห่งการลงทุนเราสามารถเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ เพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคตได้ และไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ทั้งมิติของเศรษฐกิจที่ AI เป็นทั้งตัวขับเคลื่อนและปฏิรูปรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้มีการพัฒนาและล้ำหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะความสามารถในการวิเคราะห์และเข้าใจข้อมูลต่างๆ ที่มีความซับซ้อน เช่นเดียวกับโลกแห่งการลงทุนที่ AI มีส่วนช่วยในการนำเสนอโซลูชันด้านการลงทุนที่ดียิ่งขึ้น
ขณะที่ทางดร.ชาลี อัศวธีระธรรม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Digital Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เสริมว่า ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ได้ถูกพัฒนาขึ้นไปอย่างรวดเร็ว AI เข้ามามีส่วนในการปฏิรูปรูปแบบการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงช่วยให้มนุษย์มีความเป็นอยู่ที่สุขสบายมากขึ้น เปรียบเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวยุคใหม่ ที่สามารถสร้างเนื้อหาใหม่ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ข้อความ รูป เสียง วีดีโอ ดนตรี และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยความสามารถทั้งหมดนี้ ทำให้ AI เป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญในยุคปัจจุบันและสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจเป็นอย่างมาก
ดังนั้น การจัดพอร์ตลงทุน อาจจะต้องมีความเข้มข้นและจำเป็นต้องพึ่ง AI เข้ามาช่วยด้วยอีกทาง จะเห็นได้ว่า หลายปีที่ผ่านมา มีการนำAI,มาใช้คัดเลือกหุ้นในการจัดพอร์ตลงทุน โดย AI จะคัดเลือกตามข้อมูลสถิติต่างๆ ของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นผลกำไร รายได้ มูลหนี้ หนี้ที่ไม่ก่อให่เกิดรายได้(NPL) ฯลฯ มาช่วยคัดกรองหุ้น
ข้อดีของการใช้ AI คือ ความเป็นจริงที่ไม่ใช่ความรู้สึก จึงต้องทำความเข้าใจว่า AI เป็นโปรบอทที่ไม่มีหัวใจไม่มีความรู้ ใช้ข้อมูลจากความน่าจะเป็นและข้อเท็จจริงในการตัดสินใจ ทำให้ช่วงที่ตลาดปรับตัวมากๆ ก็จะปรับตัวไปตามตลาด ไม่ได้ปรับตัวจากกระแสข่าวต่างๆ ตาางจากการใช้ความรู้สึกจากมนุษย์ที่อาจจะไขว่เขวได้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพจำเป็นต้องใช้ทั้ง AI แต่ไม่ทิ้งมนุษย์ ควรนำข้อดีของแต่ละอย่างมาใช้ด้วยกัน ก็จะยิ่งเกิดประโยชน์
ส่วนนักลงทุนที่ไม่สามารถจัดการลงทุนเองได้ จำเป็นต้องผู้เชี่ยวชาญผ่านผู้จัดการกองทุนรวม ช่วยในการดูแลพอร์ตลงทุนให้ และเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆในการจัดพอร์ตลงทุน บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด มีคำแนะนำว่า ปัจจุบันมีหน่วยลงทุนประเภท ETFs หรือ Exchange-traded fund ให้เลือกมากมายและเข้าถึงได้ง่ายทั้งหุ้น ตราสารหนี้ หรือแม้กระทั่ง Bitcoin และมีต้นทุนในการซื้อขายที่ต่ำ
อย่างไรก็ดี การจัดส่วนผสมการลงทุนที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องที่ต้องคอยติดตามเนื่องจากการคาดเดาถึงทิศทางในอนาคตเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ทั้งนี้ มีแนวทางที่ง่ายและใช้เวลาไม่มากในการช่วยให้นักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุน โดยนักลงทุนต้องรับความเสี่ยงได้มากพอผ่านการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้เพื่อรับผลตอบแทนที่คาดหวังให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้
โดยการจัดพอร์ตลงทุนเป็นการผสมการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ต้องการภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสม การกระจายการลงทุนหรือการเลือกส่วนผสมลงทุนในสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนไม่ได้สัมพันธ์กันมากจึงมีบทบาทที่สำคัญมากในการบรรลุเป้าหมายนี้
Harry Markowitz นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ได้คิดค้นหลักการซึ่งเป็นที่ยอมรับและถูกนำมาใช้จัดพอร์ตลงทุนโดยผู้เชี่ยวชาญทางการเงินมากมาย ซึ่งเป็นการคำนวณเพื่อหาสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้เพื่อให้ได้ส่วนผสมพอร์ตลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้สูงสุดภายใต้ความเสี่ยงที่มี
ขณะที่ “Efficient frontier” (ต้นแบบแนวคิดการจัดพอร์ตเพื่อกระจาย) แสดงการผสมผสานระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด ณ ความเสี่ยงในระดับต่างๆ ซึ่งจุดซ้ายสุดของกราฟคือจุดที่มีความเสี่ยงต่ำหรือมีการลงทุน 100% ในตราสารหนี้สหรัฐระดับ Investment grade และจุดขวาสุดคือการลงทุนในหุ้นสหรัฐซึ่งมีความเสี่ยงสูง
โดยสรุป คือ หากต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นก็ต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหรือลงทุนในหุ้นที่มากขึ้นแทนตราสารหนี้ อย่างไรก็ดี ส่วนปลายของกราฟในจุดที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดของพอร์ตโฟลิโอกลับไม่ใช่การลงทุนในตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว แต่มีส่วนผสมของหุ้นเล็กน้อยด้วยหรือก็คือการลดความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหุ้นเล็กน้อย
หากจัดส่วนผสมการลงทุนไม่ดี ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็ไม่ดีเช่นกัน สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาคือจาก Model นั้นเป็นการใช้ข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ซึ่งการมองไปในอนาคตนั้นไม่อาจทำได้แน่นอนเหมือนการมองข้อมูลที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทน ความผันผวน และความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้การจัดสรรส่วนผสมลงทุนที่เหมาะสมที่สุดเปลี่ยนไปได้
แม้ว่า Markowitz’s model จะไม่ได้แม่นยำเรื่องสัดส่วนลงทุนที่เหมาะสม แต่ก็ยังเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการจัดพอร์ตลงทุนสำหรับระยะยาวที่ดีได้ หุ้นและตราสารหนี้มักมีความสัมพันธ์หรือการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน โดยมีค่าความสัมพันธ์ 0.24 ( ค่าความสัมพันธ์เท่ากับ 1 แปลว่าสัมพันธ์กันสูงเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน, ค่าเท่ากับ 0 แปลว่าไม่สามารถบอกความสัมพันธ์กันได้) พอร์ตลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนจะนิยมลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันต่ำ
สรุปได้ว่า การกระจายการลงทุนไปยังหุ้นหลายๆ ประเทศก็ไม่ได้ช่วยให้ได้ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงได้มากนัก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในสหรัฐหรือหุ้นประเทศอื่นๆ ก็เคลื่อนไหวไปในทางเดียวกัน แต่ตราสารหนี้นับว่าช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนได้มาก ดังนั้นสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อความเสี่ยงและผลตอบแทนระยะยาว
แนวคิดการจัดพอร์ตของ Markowitz ช่วยให้เข้าใจหลักการของการกระจายการลงทุนได้ดี และการจัดสัดส่วนของสินทรัพย์ลงทุนที่เหมาะสมนั้นก็ขึ้นอยู่กับความถูกต้องแม่นยำของข้อมูลที่ใส่เข้าไปประมวลผลด้วย พอร์ตการลงทุนปกติจะสร้างขึ้นมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งในแง่ของผลตอบแทนและความเสี่ยง นักลงทุนแต่ละคนก็อาจมีความต้องการและสัดส่วนการลงทุนที่แตกต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคน หากไม่มีหุ้นเลยแล้วถ้าหุ้นขึ้นก็คงเสียดาย หรือถ้ามีหุ้นแล้วหุ้นลงต่อก็คงแย่อีกเช่นกัน
ดังนั้น การจัดพอร์ตการลงทุนก็เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต อาจเลือกลงทุนในหุ้น 50% และตราสารหนี้ 50% หรืออาจจัดส่วนผสมที่เหมาะสมเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ โดยที่เรายังสบายใจและนอนหลับได้โดยไม่ต้องกังวลต่อการคำนวณตามหลักการที่มากจนเกินไป