11 มิถุนายน 2567 : ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 บริษัทฯ มีอัตราเติบโต 3% ซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวมค่อนข้างมาก ปกติบริษัทจะรับประกันภัยรถยนต์เยอะมากโดยเฉพาะรถไฟฟ้า EV โดยปีที่ผ่านมามีเบี้ยรถไฟฟ้า 500 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าสินไหมทดแทน พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทะลุ 100% แล้ว
ดังนั้น ปีนี้ 2567 บริษัทฯ จึงทยอยลดการรับประกันรถยนต์ไฟฟ้าลง และรับเฉพาะรถที่ต่ออายุสำหรับลูกค้าเก่า แต่ก็มีการปรับเงื่อนไขในการเพิ่มเบี้ยประกัน 20% จึงคาดว่าเบี้ยประกันรถ EV สิ้นปีนี้จะลดลงมาเหลือเพียง 100 ล้านบาท ส่งผลให้ตัวเลขของเบี้ยประกันลดลงไป จึงต้องมุ่งเน้นขยายตลาดรับประกันภัยด้านอื่นๆ เข้ามาทดแทน
ทั้งนี้ ปัจจุบันดีลเลอร์ขายรถไฟฟ้า EV พร้อมกับเงื่อนไขฟรีประกันชั้น 1 ปีแรก ให้กับลูกค้า จากนั้นปีที่ 2 ปีที่ 3 ก็ไปต่อกันเอง แต่มีบางบริษัทฯ เริ่มทำประกันภัยแบบแพ็คเกจ 3 ปี เรื่องดังกล่าวก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละบริษัท แต่สำหรับทิพยประกันภัยไม่มีนโยบายการแข่งขันด้านราคาแบบนี้ จึงขอถอนตัวหยุดรับประกันรถไฟฟ้า EV เนื่องจากเกรงว่าจะซ้ำรอยกับการประกันภัยโควิดที่ไม่สามารถควบคุมสินไหมทดแทนได้
"เมื่อพิจารณาถึงจำนวนความถี่ของการเกิดอุบัติเหตุของรถ EV ไม่ต่างจากรถยนต์สันดาป เพราะฉะนั้นถ้าบังเอิญมีการเกิดอุบัติเหตุกับแบตเตอรี่แทบจะต้องคุ้มครองทั้งหมด total loss อีกทั้งอะไหล่รถ EV สมัยนี้มีระบบเซ็นเซอร์แทบทุกจุด ส่งผลให้ค่าอะไหล่ของรถ EV เมื่อเทียบกับรถสันดาปแพงกว่าค่อนข้างมากหรือประมาณ 30% และอีกประการหนึ่งจะเห็นได้ว่ารถ EV เมื่อเกิดพังเสียหายแทบจะไม่มีราคามือสอง (secondhand) เลย จึงเกิดความกังวลขอคนที่ใช้ไปนานๆ ก็ต้องมาเปลี่ยนแบตเตอรี่ จุดนี้จึงทำให้มองว่าถ้าหากไม่ระมัดระวังในการรับประกันแบบ 3 ปี 5 ปี ก็จะยิ่งอันตราย" ดร.สมพรกล่าว
ดร.สมพรกล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยไม่จำเป็นจะต้องลองผิดลองถูกเพราะจริงๆ แล้วมันมีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ให้เราเรียนรู้เยอะแยะเราเห็นตัวอย่างที่ดีที่อเมริกา เราเห็นตัวอย่างที่ดีที่ประเทศจีน เราเห็นตัวอย่างที่ดีในยุโรปว่าราคาเขากำหนดอะไรอย่างไง ถ้าเราจับตรงจุดนั้นมาพิจารณาเราก็จะรู้โดยโดยทันทีว่า เนื่องจากการแข่งขันธุรกิจยังมีการแข่งขันที่สูงอยู่ก็ยังมีบางบริษัทที่อาจจะคิดว่าเบี้ยในปัจจุบันนี้ยังน่าสนใจอยู่หรือยังมีการแข่งขันตัดราคากันอยู่ เลยกลายเป็นว่าเบี้ยรวมของ EV ในทุกวันนี้ ถือว่าต่ำกว่าค่าความเสี่ยงที่มีอยู่ แต่ก็ยังมีบริษัทบางแห่งที่กล้ารับประกัน เนื่องจากมองว่า พึ่งเริ่มรับประกันวันนี้คุณก็ยังคิดว่าความเสียหายยังตามมาไม่ทัน
อย่างไรก็ดี เมื่อมองที่ประเทศสหรัฐฯ ในปัจจุบันเบี้ยประกันรถ EV สูงกว่ารถยนต์สันดาปถึง 80% ในส่วนของทิพยเองเราเบี้ยประกันขนาด 500 ล้านบาท ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ทิ้งหรอกถ้าไม่เคยเจอประสบการณ์ประกันภัยโควิดมาก่อน ก็ต้องหาผลิตภัณฑ์อื่นมาชดเชยเบี้ยประกันที่หายไป ดังนั้น จึงคาดว่าจากนี้ไปธุรกิจประกันภัยจะเริ่มเจอกับข้อเท็จจริงและหันกลับมาทำธุรกิจเหมือนเดิม คือ ไม่แข่งทางด้านราคาโดยเฉพาะรถ EV ประเทศไทยเรามีบริษัทประกันภัย 48 บริษัท แต่ก็คงมีหลายบริษัทที่อยากจะเข้าไปรับประกันซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละบริษัท 
