10 มิถุนายน 2567 : จากรายงานข่าวที่คึกโครมในช่วงที่ผ่านมา Nvidia (NVDA) หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ได้ประกาศแตกพาร์หุ้นในอัตรา 10 ต่อ 1 โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.2567 เป็นต้นไป ทำให้มีการคาดการณ์กับราคาหุ้นนี้กับตัวเลขที่จะออกมาในค่ำของวันที่ 10 มิ.ย.2567 ตามเวลาไทย โดยบริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด อ้างอิงว่า จากสถิติของระบุว่าหุ้นที่มีการแตกพาร์มักจะสามารถเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาดในช่วง 3-12 เดือนหลังมีการแตกพาร์ เพราะทำให้นักลงทุนมองว่าหุ้นเหล่านี้มีราคาไม่แพง เพิ่มความสามารถในการซื้อหุ้น ซึ่งการเเตกพาร์จะไม่เปลี่ยนแปลงมูลค่าหรือมูลค่าตามราคาตลาดของบริษัท เช่น หากหุ้นของบริษัทขายในราคา 1,000 เหรียญดอลลาร์/ต่อหุ้น ก่อนแตกหุ้น 10 ต่อ 1 หลังจากนั้นจะขายในราคา 100 ดอลลาร์เเต่จำนวนหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นอีก 10 เท่า
และในความเคลื่อนไหวที่คาดว่าจะทำให้หุ้นของบริษัทชิปเอไอแห่งนี้เป็นที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนมากขึ้นไปอีก ล่าสุด มูลค่าตลาดของ Nvidia พุ่งทะยานขึ้นจนกระทั่งสามารถแซง "Apple" ได้สำเร็จ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับแวดวงอุตสาหกรรมไฮเทคในซิลิคอนแวลลีย์ ซึ่งที่ผ่านมาถูกฉายแสงครอบงำโดยแอปเปิลที่ก่อตั้งโดย สตีฟ จ็อบส์ มาตั้งแต่เริ่มเปิดตัวโทรศัพท์ iPhone เมื่อปี 2007
สำหรับมุมมองการลงทุน บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสริช (ประเทศไทย) จำกัด แสดงความคิดเห็นว่า หลังจาก Nvidia ประกาศงบไตรมาสแรกของปีนี้ออกมาค่อนข้างดี ส่งผลทำให้ราคาหุ้น Nvidia ปรับเพิ่มขึ้นและเป็นผู้นำมูลค่าตลาดของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี Bryant VanCronkhite ผู้จัดการกองทุน Allspring Global Investments ชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอของตลาดหุ้นหลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจหลายส่วนแสดงถึงความอ่อนแอของกำลังซื้อผู้บริโภค ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นที่กำลังจะกลายเป็นขาขึ้นนั้นเกิดความผันผวนขึ้นได้ แม้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีกำลังเป็นที่น่าสนใจมากในตอนนี้แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำให้นักลงทุนมองข้ามความอ่อนแอในส่วนอื่นๆ ของตลาดโดยเฉพาะภาคการบริโภคได้
ทั้งนี้ กำลังซื้อที่ชะลอลงยังคงมีต่อเนื่องทั้งจากผู้บริโภคระดับกลางถึงล่าง ขณะที่ปัจจุบันผู้ประกอบการก็เริ่มเห็นการบริโภคที่ชะลอลงในกลุ่มลูกค้าระดับบนจากไตรมาสก่อนหน้าที่ยังไม่เห็นสัญญาณชะลอตัวเช่นกัน ทั้งนี้ Dave Sekera หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนในตลาดสหรัฐของ Morningstar ระบุว่ายอดขายของ Starbucks ที่ลดลงและผลประกอบการที่แย่ลงของ McDonald คือหลักฐานที่ชี้ชัดถึงการบริโภคที่อ่อนแอ ผู้บริโภคเริ่มประหยัดการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะชนชั้นกลางที่เริ่มเห็นผลกระทบของเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่องยาวนาน
ด้านยอดขายที่ดีขึ้นในไตรมาสแรกของ Walmart เป็นการสะท้อนถึงความต้องการซื้อสินค้าราคาถูกที่มากขึ้น ขณะที่ยอดขายในกลุ่มสินค้าแต่งบ้านและโรงแรมอ่อนแอลงตามแรงซื้อของผู้บริโภคที่ลดการใช้จ่ายในสินค้าฟุ่มเฟือย ส่งผลให้ Morningstar US Consumer Defensive Index ปรับเพิ่มขึ้น 8.8% ในปีนี้ ส่วน Morningstar US Consumer Cyclical Index ลดลง 1.3%
ความจริงแล้วรายได้ส่วนใหญ่ของหุ้นเทคโนโลยีอย่างเช่น Amazon, Meta Platforms, Alphabet และ Microsoft มาจากส่วนงาน Digital advertising เป็นหลักไม่ใช่ส่วนที่เป็น AI ทำให้ตราบใดที่ผู้บริโภคยังคงใช้จ่ายสินค้า ส่วนงานโฆษณาของหุ้นเหล่านี้ก็ยังคงมีกำไร แต่แนวโน้มการใช้จ่ายที่ลดลงของผู้บริโภคก็อาจบั่นทอนการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีเหล่านี้ได้เช่นกัน โดยแนวโน้มการโฆษณาผ่านสื่อดิจิตอลจะลดลงเมื่อเศรษฐกิจเริ่มอ่อนแอและการใช้จ่ายผู้บริโภคน่าจะชะลอลงในครึ่งหลังของปีนี้และนำไปสู่แรงกดดันในระยะสั้นได้ แต่แนวโน้มเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดิจิตอลก็ยังคงเป็นที่นิยมมากกว่าสื่อโฆษณาปกติอื่นๆทำให้ผลกระทบอาจยังจำกัด
ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังให้ผลตอบแทนที่สูงแม้ว่าจะมีราคาซื้อขายที่สูงมากโดยเปรียบเทียบก็ตาม อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรให้ความสำคัญต่อภาคการใช้จ่ายที่ชะลอลงของผู้บริโภคและให้น้ำหนักลงทุนที่มากขึ้นในกลุ่ม Consumer staples รวมถึงให้น้ำหนักลงทุนที่น้อยกว่าตลาดในกลุ่ม Discretionary ยกตัวอย่างเช่นการลงทุนในหุ้น Walmart เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มบนเริ่มมีความต้องการซื้อสินค้าที่มีราคาคุ้มค่าที่มากขึ้น ขณะที่หุ้นอย่าง Kraft Heinz และ Clorox ก็มีความน่าสนใจเช่นกันจากมูลค่าหุ้นที่ยังอยู่ในระดับต่ำ (Undervalue)
ทั้งนี้ นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับบริษัทที่สร้างยอดขายเติบโตได้โดยที่มีอำนาจในการต่อรองราคา ให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนาและการทำการตลาดเพื่อความสำเร็จในระยะยาว หรือเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงทั้งจากความต้องการของลูกค้าที่สูงและมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มพลังงานก็นับว่าน่าสนใจเช่นกันเนื่องจากเป็นการลงทุนที่ช่วยลดความเสี่ยงทางการเมืองและเงินเฟ้อได้
ขณะที่ภาคการบริโภคที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในช่วง 6-9 เดือนที่ผ่านมาทำให้เศรษฐกิจเติบโตแข็งแกร่งไปพร้อมตลาดหุ้นได้ แต่หากภาคการบริโภคอ่อนแอตลาดหุ้นจะยืนต่อได้หรือไม่ แม้ Theme AI จะให้ผลตอบแทนที่สูงแต่อาจไม่มากพอที่จะช่วยพยุงตลาดหุ้นภาพรวมให้ขึ้นได้ต่อ
ขณะที่ Finnomena Fund ออกมาย้ำว่า อย่าหันหลังให้ AI ในยุคที่มูลค่าหุ้น Nvidia แซงหน้า Apple แล้ว และไล่หลัง Microsoft แค่ไม่เกิน 5% เท่านั้น สำหรับโพยกองทุนที่มีหุ้น Nvidia ที่มีสัดส่วนเยอะๆ เพื่อใช้ในการตัดสินใจลงทุน ประกอบด้วย กองทุน ES-USTECH มีสัดส่วนประมาณ 17.5% กองทุน SCBSEMI(A) กองทุน SCBSEMI(SSF) มีสัดส่วนประมาณ 10.4% กองทุน MEGA10AI-A กองทุน MEGA10AI-SSF กองทุน MEGA10AIRMF มีสัดส่วนประมาณ 9.4% กองทุน KFGTECH-A กองทุน KFGTECHRMF มีสัดส่วนประมาณ 9.2%
กองทุน UBOT มีสัดส่วนประมาณ 9.1% กองทุน ONE-UGG-RA กองทุน ONE-UGG-ASSF กองทุน ONE-UGERMF-A มีสัดส่วนประมาณ 8.0% กองทุน KFGG-A กองทุน KFGGSSF กองทุน KFGGRMF มีสัดส่วนประมาณ 8.0% กองทุน K-USA-A(A) กองทุน K-USA-A(D) กองทุน K-USA-SSF กองทุน KUSARMF มีสัดส่วนประมาณ 8.0% กองทุน B-USALPHA มีสัดส่วนประมาณ 7.8% กองทุน TISCOAI มีสัดส่วนประมาณ 7.6%