WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันศุกร์ ที่ 18 ตุลาคม 2567 ติดต่อเรา
ส่องพอร์ตระดับโลกเขาลงทุนกัน!

20 พฤษภาคม 2567 : ภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน ดัชนีระดับ 1,400 จุด เหมือนแวะมาทักทายแล้วก็จากไปอยู่บ่อยครั้ง ทำให้นักลงทุนจิตใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พากันพลิกตำราเอาตัวรอดภายใต้ความไมแน่นอนขอ่งตลาดทุนกันยกใหญ่ และกลยุทธ์ที่ดีที่สุดภายใต้สภาวะการณ์แบบนี้ คือ “การกระจายความเสี่ยง” ไปในสินทรัพย์ต่างๆ เพิ่อไม่ให้กระจุกตัวเพียงแค่ตลาดใดตลาดหนึ่ง แม้ภาครัฐจะปล่อยข่าวบวกบ่อยครั้ง ดัชนีก็แค่แวะมาพักเพื่อจิบน้ำชาแล้วก็จากไป

ขณะที่ผู้บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM "ชวินดา หาญรัตนกูล" กรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาถือว่ามีอัตราการเติบโตในระดับที่ต่ำ ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ล่าช้ากว่าประเทศอื่นๆ รวมถึงความล่าช้าของ พรบ.งบประมาณปี 2567 แต่หลังจากที่ พรบ. มีผลบังคับใช้แล้ว จะส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเวียนในเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ได้ อีกทั้ง มาตรการกระตุ้นทางภาครัฐที่จะเข้ามามีส่วนเร่งผลักดันให้เศรษฐกิจดียิ่งขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวคาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้เห็นอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ขณะเดียวกันในส่วนของดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 2.50% ตามภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และเพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจต่อไป จึงได้แนะนำ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นทุนปันผล (KTSF) เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีมีความมั่นคง ให้ผลตอบแทนที่ดี และกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้น Mid-Small Cap (KTMSEQ) เน้นลงทุนในหุ้นงบริษัทขนาดกลาง และ/หรีอ ขนาดเล็กที่จดทะเบียนใน SET หรือ mai ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และ/หรือ มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจ

ในส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์นั้น มองว่า มีความโดดเด่นมากขึ้น จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางซึ่งยังคงจะทำให้ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูงได้ ดังนั้น การถือหุ้นกลุ่มพลังงานจะช่วยป้องกันความเสี่ยงภูมิศาสตร์ให้กับพอร์ตการลงทุนได้ ในส่วนทองคำนั้นยังคงได้ประโยชน์จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ประกอบกับความต้องการการถือครองทองคำของธนาคารกลางหลายแห่งเพิ่มมากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมการลงทุนในครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกอาจจะให้ผลตอบแทนในระดับ “ปานกลาง” และอาจจะไม่ได้ดีเหมือนในปีก่อน ในทางตรงกันข้ามสินทรัพย์ปลอดภัยอาจจะให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นกว่าในปีที่ผ่านๆ มา ถึงแม้ว่าความผันผวนยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง ดังนั้น การจัดพอร์ตการลงทุนที่มีความ “สมดุล” และ “กระจายตัว” ดีเพียงพอ จึงจะเป็นตัวช่วยในการลงทุนในครึ่งปีหลังนี้ได้อย่างดี

แต่นักลงทุนที่มีเป้าหมายลงทุนโเยตรงในหุ้นต่างประเทศ เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการแสวงหากำไรพร้อมกระจายความเสี่ยง แต่ไม่รู้ว่าจะลงทุนในหุ้นตัวไหนดี บริษัท หลักทรัพย์ เคเคพี ไดม์ จำกัด (KKP Dime) จึงได้รวบรวมข้อมูลหลักทรัพย์ที่มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลกถือครองเพื่อลงทุนมากสุด ซึ่งข้อมูลทั้งหมดได้รวบรวมมาจาก HedgeFollow ข้อมูล ณ วันที่ 15 พ.ค. 2567 ที่ผ่านมา

โดยอันดับแรก คือ Warren Buffett ที่มีกลยุทธ์คัดเลือกหุ้นที่ธุรกิจแข็งแกร่งในราคาที่เหมาะสม และถือระยะยาว โดยหุ้น 10 อันดับแรกที่ Berkshire Hathaway Holdings ถือครองมากสุด ณ วันที่ 31 มี.ค. 2567 ได้แก่ 1. Apple (AAPL) 40.81% 2. Bank America (BAC) 11.81% 3. American Express (AXP) 10.41% 4. Coca Cola (KO) 7.38% 5. Chevron (CVX) 5.85% 6. Occidental Pete (OXY) 4.86% 7. Kraft Heinz (KHC) 3.62% 8.Moodys (MCO) 2.92% 9. Chubb (CB) 2.03% 10. Davita (DVA) 1.50%

ขณะที่ Jim Simons (เสียชีวิต ณ วันที่ 10 พ.ค. 67) ผู้บริหารกองทุน Renaissance Technologies ที่ใช้ข้อมูลและปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับสินทรัพย์การเงินมาวิเคราะห์ด้วยเชิงคณิตศาสตร์และสถิติ โดยสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 66% ต่อปี เป็นระยะเวลา 30 ปี หุ้น 10 อันดับแรกที่กองทุน Renaissance Technologies ถือครองมากสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.2567 ได้แก่

1. Novo-nordisk (NVO) 2.18% 2. Palantir Technologies (PLTR) 1.71% 3. Meta Platforms (META) 1.20% 4.Airbnb (ABNB) 1.15% 5. Amazon (AMZN) 1.06% 6. Vertex Pharmaceuticals (VRTX) 1.04% 7.Verisign (VRSN) 0.91% 8. Uber Technologies (UBER) 0.79% 9. NVIDIA (NVDA) 0.78% 10. United Therapeutics (UTHR) 0.78%

ส่วน Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates หนึ่งในกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่สุดในโลกและคิดกลยุทธ์ All Weather Portfolio ที่เป็นการจัดพอร์ตการลงทุนให้มีโอกาสขาดทุนน้อยสุดในทุกสถานการณ์ ด้วยการเลือกแต่ละสินทรัพย์มาบาลานซ์กัน สินทรัพย์ 10 อันดับแรกที่กองทุน Bridgewater Associates Holdings ถือครองมากสุด ณ วันที่ 31 มี.ค. 2567 ได้แก่

1. iShares Core S&P 500 ETF (IVV) 5.57% 2. iShares Core MSCI Emerging Markets ETF (IEMG) 4.87% 3. Alphabet (GOOGL) 4.10% 4. Procter And Gamble (PG) 3.37% 5. Nvidia (NVDA) 3.22% 6. Meta Platforms (META) 2.44% 7. Johnson & Johnson (JNJ) 2.27% 8. Walmart (WMT) 2.10% 9. Costco Wholesale (COST) 1.98% 10. Coca Cola (KO) 1.95%

และ Bill Ackman ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Pershing Square Capital Management ซึ่งเคยสามารถลงทุนสร้างผลตอบแทนเกือบ 100 เท่า ภายใน 1 เดือน ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยหุ้น 7 อันดับแรกที่กองทุน Pershing Square Capital Management ถือครอง ณ วันที่ 31 มี.ค. 2567 ได้แก่

1. Chipotle Mexican Grill (CMG) 20.10% 2. Hilton Worldwide (HLT) 18.20% 3. Restaurant Brands International (QSR) 16.82% 4. Alphabet (GOOG) 13.27% 5. Howard Hughes Holdings (HHH) 12.72% 6. Canadian Pacific Kansas (CP) 12.37% 7. Alphabet (GOOGL) 6.11%  

การเงิน ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP