17 พฤษภาคม 2567 : ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยถึงกรณี การลดเงินสมทบของบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด จากเดิมที่บริษัทประกันภัยต้องจ่าย 12.25% เหลือ 6% หรือตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 จนถึงกันยายน 2569 ว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจประกันภัยต้องเผชิญกับวิบากกรรมในเรื่องของการรับประกันภัยโควิด ทำให้บริษัทประกันภัยหลายแห่งถูกเพิกถอนใบอนุญาต ส่วนความคุ้มครองที่ยังเหลืออยู่นั้นถูกโอนไปที่ “กองทุนประกันวินาศภัย”
ซึ่งทางสมาคมเองก็ได้มีการหารือกับทางบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด เมื่อมีการลดเงินสมทบลงมา 50% เขาสามารถประคับประคองสถานการณ์ได้ประมาณ 3 ปี ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบฐานะการเงินของบริษัทกลางฯ จนกระทั่งทำให้บริษัทกลางฯ อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจอยู่ได้ แต่ถ้าครบ 3 ปีแล้วเงินสมทบก็จะกลับมาจ่ายเช่นเดิม หรือ 12.25% เพื่อมาชดเชยความขาดทุนในช่วง 3 ปีนั้นได้
"สำหรับ บริษัทกลางนั้นใน 3 ปีที่กำลังจะผ่านไปก็สามารถ recover สถานการณ์ได้ในขณะเดียวกันบ.กลางฯ จะได้มีการปรับโครงสร้างภายในของบริษัทกลางฯ ทำให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสิ่งเหล่านี้ก็เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบในระยะยาว" ดร.สมพรกล่าว
เมื่อย้อนมาพิจารณาทางด้าน "กองทุนประกันวินาศภัย" ที่มีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง เพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิ์ได้รับชำระหนี้ ที่เกิดจากการเอาประกันภัยในกรณีบริษัทถูกเพิกถอนใบอนุญาต หรือปิดกิจการ ซึ่งประกันภัยมีหน้าที่จ่ายเงินสมทบเข้าไปให้กองทุนฯ จำนวน 0.25% ของเบี้ยประกันภัยในแต่ละปี เพราะฉะนั้น เมื่อมีบริษัทประกันภัยปิดกิจการ กองทุนก็มีหน้าที่ต้องดำเนินการจ่ายชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ และในกรณีนี้มีบริษัทประกันภัยถูกปิดกิจการผลจากการประกันโควิด 4 บริษัท ทำให้มีมูลหนี้ปัจจุบันสูงกว่า 51,000 ล้านบาท ซึ่งเงินกองทุนฯ มีเงินทุนไม่เพียงพอในการชำระให้แก่เจ้าหนี้
"อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายพยายามเร่งหาทางออกต่อเรื่องดังกล่าว กระทั่งในปีที่ 2566 ที่ผ่านมา ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จึงมีการปรับเพิ่มเงินสมทบของกองทุนฯ จากเดิมที่บ.ประกันภัยค้องจ่ายอยู่ที่ 0.25% กลายเป็น 0.5% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเท่าตัว อันที่จริงแล้วนับได้ว่าเป็นภาระของธุรกิจประกันวินาศภัย ซึ่งเป็นช่วงที่หลังจากเกิดวิกฤตการณ์โควิดที่หลายบริษัทฯ ก็ประสบปัญหาการจ่ายสินไหมทดแทนประกันโควิดเช่นเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ทางบริษัทฯ สมาชิกจึงได้มีการหันกลับไปร้องขอให้ลดเงินสมทบของบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด เพื่อมาชดเชยสิ่งที่เป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจประกันภัย" ดร.สมพรกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนทิศทางการเพิ่มขึ้นของเงินสมทบกองทุนประกันวินาศภัยนั้น เพื่อแก้ปัญหาและภาระของกองทุนประกันวินาศภัยซึ่งขณะนี้มีหนี้ที่ถูกรับโอนมาจาก 4 บริษัทที่ปิดกิจการอยู่ในกองทุนประมาณ 51,000 ล้านบาท และสมมุติว่ามีบางบริษัทต้องหยุดดำเนินกิจการไปด้วยและโอนหนี้นั้นมาก็จะเป็นภาระของกองทุนเพิ่มขึ้นอีก 30,000 ล้านบาท รวมเป็นมูลหนี้ 80,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นหนี้ก้อนโตเลยทีเดียว
ดังนั้น จึงมีแนวคิดในหลากหลายวิธีเพื่อจะแก้ไขปัญหาดังกล่าว ยกตัวอย่าง
แนวทางแรก คือ การเพิ่มเงินสมทบจากปัจจุบันเป็น 0.5 ก็อาจจะกลายเป็น 1% หรือ 2% แต่ในมุมนี้ หากมีการเพิ่มเงินส่งสมทบ สุดท้ายแล้วก็จะกลับมาเป็นภาระของประชาชน เพราะถ้าบริษัทประกันภัยมีต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้น ก็จำเป็นจะต้องไปกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยใหม่เป็นการไปเพิ่มเบี้ยให้กับประชาชนกลายเป็นภาระของประชาชนในภาพรวม
แนวทางที่สอง พูดคุยเจรจากันกับเจ้าหนี้ เพื่อขอลดหนี้ลง เหลือ 30-50% ก็จะทำให้กองทุนมีศักยภาพในการชำระหนี้ได้
ยกตัวอย่าง ถ้าลดลงมาเหลือครึ่งนึง 50% จากมูลหนี้ 80,000 ล้านบาท ก็จะเหลือ 40,000 ล้านบาท ก็สามารถนำเงินที่บริษัทประกันภัยจ่ายเงินสมทบอยู่แล้วในขณะนี้ในอัตราปัจจุบันนี้ต่อปี 1,300 ล้านบาท โดยในอนาคตบริษัทประกันภัยก็จะเติบโตมีเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เงินสมทบดังกล่าวก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 หรือ 1,600 ล้านบาท/ปี
ในขณะเดียวกันถ้าสามารถออกพันธบัตร หรือ หุ้นกู้ และเชิญชวนให้บริษัทประกันภัยและบริษัทประกันชีวิต เข้ามาซื้อโดยมีดอกเบี้ยพอสมควร กองทุนฯ ก็สามารถที่จะนำเงินที่ซื้อหุ้นกู้หรือพันธบัตร ไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน 100-150% ได้ ตนก็เชื่อว่าบริษัทประกันภัยและประกันชีวิตจำนวนไม่น้อยจะให้การสนับสนุน กองทุนก็จะสามารถมีวงเงินกลับมา 2-3 หมื่นล้าน มาบริหารกองทุนได้ แต่เรื่องดังกล่าวต้องหารือร่วมและขออนุมัติจากกระทรวงการคลัง
ดร.สมพร กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่เป็นอันตรายในตอนนี้ คือ เมื่อมีการปรับลดเงินสมทบของบริษัทกลางฯ ลงไป ก็จะมีบริษัทประกันภัยบางบริษัทนั้นแทนที่จะเอาเงินที่ saving มาได้ไปชดเชยในเรื่องของเงินสมทบจากกองทุน แต่กลับเริ่มเห็นแนวโน้มของบริษัทประกันภัยบางบริษัทนั้นไปจ่ายค่าตอบแทนทางด้านประกันภัยพ.ร.บ.เพิ่มมากขึ้นก็จะกลายเป็นปัญหาอีกด้านหนึ่งของธุรกิจ ซึ่งขณะนี้สมาคมประกันวินาศภัยได้เชิญบริษัทประกันภัยต่างๆ มานั่งพูดคุยกันว่า ควรที่จะดำเนินการให้อยู่ในกฎ กติการ่วมกันอย่างไร เพราะว่าการแก้ปัญหาให้กับธุรกิจประกันภัยนั้นไม่ควรจะสร้างปัญหาอีกแบบหนึ่งให้เกิดขึ้นอีกด้านหนึ่ง