28 มีนาคม 2567 : จัดพอร์ตลงทุนช่วงนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน มักย้ำแล้วย้ำอีก ให้กระจายความเสี่ยงลงทุนไปในหลายสินทรัพย์ ไม่ควรกระจุกตัวอยู่แค่ตลาดใดตลาดหนึ่ง เพราะสถานการณ์ตลาดลงทุนปีนี้มีความซับซ้อนจากปัจจัยด้านต่างๆ ทั้งเทรดน์ดอกเบี้ยขาลงของโลก เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ต่างโฟกัสตลาดหุ้น "อินเดีย" เป็นตลาดลงทุนอีกหนึ่งตลาดที่ไม่ควร ปล่อยผ่าน เพราะ “อินเดีย” เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับสูง ทำให้มีแนวโน้มเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ล่าสุด นายกฤษณมูรติ สุพราหมณิยัน ผู้อำนวยการบริหาร IMF กล่าวว่า อินเดียจะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลกได้ไม่ยาก เนื่องจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 มีการเติบโตสูงเกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และขยายตัวเร็วที่สุดในรอบ 6 ไตรมาส ที่ระดับ 8.4%
ดังนั้น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) หลายแห่งต่างออกกองทุนอินเดีย เพื่อลงทุนกองทุนอินเดียแบบมือฉมัง โดยนายชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท หลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนฟินโนมีนา จำกัด (บลน.ฟินโนมีนา) ได้วิเคราะห์กองทุนอินเดียเชิงลึก พร้อมแนะนำลงทุน ระบุว่า ด้วยศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับสูง ทำให้แนวโน้มเม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียหลัง MSCI เพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นอินเดียในการคำนวนดัชนี จึงแนะนำลงทุนในหุ้นอินเดียผ่านกองทุน B-BHARATA และกองทุน TISCOINA-A
สำหรับกองทุน B-BHARATA เป็นกองทุนรวมหุ้นอินเดีย ลงทุนผ่านกองทุน RAMS Investment Unit Trust – India Equities Portfolio Fund II เน้นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศอินเดีย และมีน้ำหนักการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อโอกาสเพิ่มผลตอบแทนมากขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน 45% ของเงินลงทุน
ขณะที่กองทุน TISCOINA-A ลงทุนในหุ้นอินเดียผ่าน 3 กองทุนหลัก ได้แก่ 1. Nomura Funds Ireland plc India Equity Fund: ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up พิจารณาจากพื้นฐานของหุ้นเป็นหลัก ประมาณ 25-30 ตัว จาก Universe ประมาณ 240 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่
2. FSSA Indian Subcontinent Fund: ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up คัดเลือกหุ้นที่ประกอบธุรกิจในอินเดีย, ศรีลังกา, ปากีสถาน และบังคลาเทศ โดยเน้นลงทุนประมาณ 50 ตัว กระจายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
3. Goldman Sachs India Equity Portfolio: ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management คัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom-up เลือกหุ้นประมาณ 70-100 ตัว จาก Universe ประมาณ 700 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลาง-เล็ก