15 มีนาคม 2567 : นายอมร ทองธิว กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาการบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการให้บริการต่างๆ โดยยึดหลักลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 43,000 ล้านบาท แบ่งเป็นประกันภัยรถยนต์ 38,000 ล้านบาท หรือเติบโต 6% และประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ 5,000 ล้านบาท เติบโต 11%
“สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดประกันวินาศภัย อันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 31 โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 14% เช่นเดียวกันกับตลาดประกันภัยรถยนต์ที่วิริยะประกันภัย ยังครองส่วนแบ่งตลาด เป็นอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 36 โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 22% ผลสำเร็จนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคง แข็งแกร่ง และความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ทั้งนี้ ผลประกอบการในรอบปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวมทั้งสิ้น 40,077 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ 35,633 ล้านบาท และประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ 4,444 ล้านบาท มีกำไร 3,000 ล้านบาท” นายอมรฯ กล่าว
“ในช่วงที่เราประสบกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมานั้น บริษัทฯ ยังคงยืนหยัดดูแลผู้เอาประกันภัยโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ประกอบกับวิริยะประกันภัย มีสินทรัพย์สภาพคล่องและเงินกองทุนเพียงพอ จึงสามารถดูแลเคียงข้างผู้เอาประกันภัย และจ่ายสินไหมทดแทนจนถึงกรมธรรม์ฉบับสุดท้ายในช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา โดยมีการจ่ายสินไหมทดแทนไปกว่า 3 หมื่นล้านบาท” นายอมรฯ กล่าว
นายอมรฯ กล่าวต่อไปอีกว่า ในปี 2567 นี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นที่จะตอบสนองต่อความพึงพอใจของลูกค้าที่ให้ความเชื่อมั่นไว้วางใจในวิริยะประกันภัย ด้วยการส่งมอบประสบการณ์ที่ “คุ้มค่า” ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมบริการประกันภัย ซึ่ง 2-3 ปี ที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันดีว่า บริษัทฯ ได้มีการนำบริการ “VClaim on VCall” หรือ การเคลมนัดหมายออนไลน์ผ่านวิดีโอคอลมาให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งปัจจุบันบริการนี้ได้ขยายออกไปครอบคลุมทุกทิศทั่วไทยแล้ว เสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าทำให้บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวนวัตกรรมบริการใหม่ “V-Inspection” เป็นบริการที่นำ AI เข้ามาช่วยในการตรวจสภาพรถยนต์ก่อนการรับประกันภัย ให้ผู้เอาประกันภัยสามารถตรวจสภาพรถยนต์ได้สะดวกทุกที่ทุกเวลาผ่านมือถือ
ส่วนในด้านของผลิตภัณฑ์ประกันภัย บริษัทฯ ได้ใช้ Big Data พัฒนาผลิตภัณฑ์ตาม Personalization and Customer Insights หรือการใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละคน พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด อาทิ V-Motor ขับเท่าไหร่จ่ายเท่านั้น, Type 1 Good Drive ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจาก 2+Good Drive, ผลิตภัณฑ์ประกันภัยเดินทางต่างประเทศ V Travel Comprehensive, ผลิตภัณฑ์ประกันภัยความรับผิด Carrier, ผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองแนวคิด ESG Responsibilities โดยการนำแนวคิด Green Insurance มาพัฒนาร่วมกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีอยู่, Viriyah Privileges เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี ด้วยการมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาการเป็นสมาชิก
“เรามุ่งหวังที่จะมอบประสบการณ์ที่คุ้มค่าให้แก่ลูกค้า จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเรามีผลิตภัณฑ์ประกันภัยออกสู่ตลาดมากกว่า 60 ผลิตภัณฑ์ โดยมีการนำข้อมูล Big Data อันมาจากการได้ดูแลบริหารจัดการความเสี่ยงให้กับลูกค้ากว่า 8 ล้านกรมธรรม์ จึงนำมาวิเคราะห์ข้อมูลที่ลงลึกถึงความต้องการและความเสี่ยง ทำให้สามารถนำมาประเมินผลเพื่อกำหนดความคุ้มครองให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า รวมถึงกำหนดเบี้ยประกันภัยอย่างเหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่าและพึงพอใจอย่างสูงสุด อีกทั้งบริษัทฯ ยังมุ่งสร้างประสบการณ์อันคุ้มค่าผ่านตัวแทน/นายหน้าประกันวินาศภัยที่มีอยู่เกือบ 6,000 คนทั่วประเทศ ที่พร้อมเข้าไปดูแลลูกค้าในพื้นที่ละแวกใกล้กับสำนักงานตัวแทน และที่สำคัญสำนักงานมาตรฐานตัวแทนของวิริยะประกันภัย ยังถูกยกระดับการบริการให้สามารถดำเนินการออกกรมธรรม์ให้แก่ลูกค้าได้โดยตรงเทียบเท่ากับสาขาของวิริยะประกันภัย” นายอมรฯ กล่าว
บริษัทฯ ยังคงยืนหยัดเคียงข้างดูแลเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการความเสี่ยงด้วยระบบประกันภัยให้กับประชาชนในสังคม พร้อมตอกย้ำความมั่นคงแข็งแกร่งด้วยสินทรัพย์ที่มีอยู่ถึง 68,335 ล้านบาท และอัตราส่วนเงินกองทุน (CAR) อยู่ที่ 180% ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่ามาตรฐานของเงินกองทุนฯ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งในปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่การส่งมอบประสบการณ์ความคุ้มค่าให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด “ปีแห่งความมั่นคงและเป็นธรรม : มากกว่าความคุ้มครอง คือ ความคุ้มค่า” โดยตลอดระยะเวลา 77 ปี ของการดำเนินงาน และยังคงยึดมั่นนโยบาย “ความเป็นธรรม คือ นโยบาย” ซึ่งความเป็นธรรมนี้ยังถูกปลูกฝังและหยั่งรากลึกไปถึงบุคลากรของบริษัทฯ จากรุ่นสู่รุ่น จากพี่สู่น้อง ซึ่งปัจจุบันวิริยะประกันภัยมีพนักงานกว่า 6,700 คน ทั่วประเทศ
ประสบการณ์ความคุ้มค่าเหล่านี้ คือสิ่งที่วิริยะประกันภัยตั้งใจมอบให้แก่ลูกค้าที่มอบความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในบริษัทฯ ทั้งลูกค้าใหม่ รวมถึงลูกค้าเก่าที่ยังคงมีการต่ออายุกรมธรรม์อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ วิริยะประกันภัยยังได้เตรียมเปิดตัวแคมเปญบริษัทฯ ภายใต้แนวคิด “มากกว่าความคุ้มครอง คือ ความคุ้มค่า” พร้อมสื่อสารไปยังสาธารณชนผ่านหนังโฆษณาและสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าของวิริยะประกันภัยอีกด้วย
นายสยม โรหิตเสถียร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงส่วนงานรับประกันภัยรถยนต์ (Motor) ว่า ทุกๆ วันโจทย์ในการทำงานของพวกเรา คือ ลูกค้าต้องได้รับบริการประกันภัยที่ดีที่สุด สินค้าของวิริยะประกันภัย คือ “บริการ” เราต้องทำให้ลูกค้าที่เลือกมอบความไว้วางใจกับวิริยะประกันภัยมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการที่ดี มีคุณภาพ สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม ซึ่งทุกกระบวนงานของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา ปรับปรุง ต่อยอด ในทุกๆ ส่วนงาน ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ มุ่งเน้นไปที่ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงได้จัดอบรมความรู้หลักสูตรเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอุบัติเหตุ เจ้าหน้าที่สรุปความเสียหาย รวมไปถึงบริษัทคู่ค้า ตัวแทนประกันวินาศภัย และศูนย์ซ่อมมาตรฐานของวิริยะประกันภัยทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าได้อย่างมืออาชีพอีกด้วย ซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทมีเบี้ยประกันรับรถ EV 400 ล้านบาท หรือประมาณ 7,000 คัน คาดว่าปี 2567 คงจะรับประกันได้กว่า 10,000 คัน เนื่องจากทิศทางมีรถยนต์ EV จะเข้ามาเปิดตัวใหม่อีกหลายยี่ห้อหลายรุ่น ซึ่งมีประชาชนเริ่มให้การตอบรับมากขึ้น
"การซ่อมรถสันดาปเราทำกันมาหลายสิบปีแล้ว ช่างก็มีความชำนาญด้านเครื่องยนต์มากแล้ว แต่พอมาเป็นรถยนต์ EV ชิ้นส่วนงานเปลี่ยนใหม่หมด อะไหล่สำคัญที่สุดของรถคือ แบตเตอรี่ เมื่อทางอู่เห็นเคสแล้วบอกว่าจะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ซึ่งมูลค่าของแบตเตอรี่เกือบถึงทุนประกันหรือเสียหายเกิน 70% จึงกลายเป็นการคืนทุน แต่ประเด็นคือลูกค้า เนื่องจากเงินที่ได้ไป 70% เขาเดือดร้อนที่ต้องไปซื้อรถใหม่ บริษัทฯ จึงปรึกษากับทางผู้ผลิตว่าถ้าหากแบตเตอรี่ไม่ได้เสียหายมากสามารถซ่อมได้ หรือบางรุ่นที่เป็นแบตฯ แบบเป็นโมดูลที่สามารถเปลี่ยนบางโมดูลได้ ซึ่งอาจจะลดคอสนี้ลง แต่อย่างไรก็ตามเรายังต้องอาศัยความชำนาญจากผู้ผลิตมาก่อน แต่ศูนย์ซ่อมนั้นสามารถให้คำปรึกษาทำงานในเบื้องต้น เนื่องจากว่าแบตเตอรี่บางยี่ห้ออาจจะซ่อมไม่ได้เลยก็เป็นได้" นายสยม กล่าว
นายสยมฯ กล่าวต่อไปว่า นับเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับธุรกิจประกันภัย และวิริยะประกันภัย ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการลูกค้า ซึ่งต้องผสมผสานการทำงานร่วมกันกับคน เนื่องจาก Human Touch เป็นเรื่องสำคัญและเปราะบางมากสำหรับธุรกิจประกันภัย ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวล้ำเพียงใดการนำมาใช้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสมและความพอดี สำหรับงานบริการประกันภัยส่วนหน้าที่ต้องเกี่ยวข้องกับการดูแลลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์คับขัน เช่น กรณีเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เจ็บไข้ได้ป่วย สิ่งที่ลูกค้าคาดหวัง คือ ได้รับการดูแลที่ดีจากพนักงานวิริยะประกันภัย
ในเรื่องนี้บริษัทฯ ก็ต้องบริหารจัดการด้วยความระมัดระวัง นับตั้งแต่ขั้นตอนการรับแจ้งเคลมจากลูกค้าผ่าน Contact Center หรือ Application การให้บริการลูกค้า ณ จุดเกิดเหตุ และการดูแลลูกค้า ณ จุดบริการต่างๆ (Touch Point) สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างชื่อเสียงและการยอมรับด้านการบริการให้วิริยะประกันภัยมาโดยตลอด
ทั้งนี้ ในส่วนของงานบริการสินไหมทดแทน ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ขยายการบริการแจ้งเคลมผ่านวิดีโอคอล “VClaim on VCall” ครอบคลุมพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ ซึ่งบริการนี้ได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสะดวก รวดเร็ว ช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง อีกทั้งบริษัทฯ ยังนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประเมิน วิเคราะห์ และสรุปความเสียหายด้านสินไหมทดแทน ทำให้คู่ค้าบริษัทฯ ได้รับการอนุมัติงานซ่อมและค่าซ่อมที่รวดเร็ว และลูกค้าได้รับรถยนต์กลับไปใช้งานตามปกติได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการทำประกันภัยกับบริษัทฯ โดยมีการพัฒนานวัตกรรมบริการ “V-Inspection” ซึ่งเป็นบริการตรวจสภาพรถยนต์ก่อนทำประกันภัยผ่านมือถือ ซึ่งช่วยลดระยะเวลา และการเดินทางเพื่อตรวจสภาพรถยนต์ ทำให้ลูกค้าได้รับการอนุมัติทำประกันภัยที่รวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการเชื่อมระบบข้อมูลการรับประกันภัยด้วย API (Application Programing Interface) ทำให้บริษัทฯ สามารถเชื่อมต่อข้อมูลการประกันภัยกับระบบการขายของคู่ค้าได้อย่างรวดเร็วเป็นปัจจุบัน ลูกค้าจะได้รับทราบเบี้ยประกันภัย ทุนประกัน และความคุ้มครองอย่างทันท่วงที เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจทำประกันภัย และชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย รวมถึงการใช้ RPA (Robotic Process Automation) เพิ่มประสิทธิภาพ และความรวดเร็วในการนำเข้าข้อมูลเพื่อพิจารณาอนุมัติและออกกรมธรรม์
“บริษัทฯ ยังมองถึงโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ และในอนาคต ทั้งในเรื่องของเทรนด์การดูแลสุขภาพและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายมากขึ้น เป็นโอกาสสำหรับบริษัทฯ ในการขยายผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อตอบทุกโจทย์ของการใช้ชีวิตสมัยใหม่ เช่น ประกันคุ้มครองเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า ประกันรถยนต์ตามระยะทางที่ขับจริง ประกันไซเบอร์ ฯลฯ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนธุรกิจให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของคู่ค้า และลูกค้าได้มากขึ้น
ความท้าทายในเรื่องของ Claim Inflation การบริหารจัดการต้นทุนสินไหมที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงเรื่องของ Cost Technology ในการดูแลความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากความซับซ้อนของเทคโนโลยี ตลอดจนการบริหารจัดการความคาดหวังของลูกค้า ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยความท้าทายสำคัญที่บริษัทฯ ต้องบริหารจัดการอย่างพิถีพิถันด้วยเช่นกัน” นายสยมฯ กล่าวทิ้งท้าย
ส่วนทางด้านประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ (Non-Motor) นางฐวิกาญจน์ เตชทวีทรัพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เป้าหมายปี 2567 บริษัทฯ มีการวางแผนขยายประกันภัย Non-Motor ให้เติบโตเพิ่มขึ้น 11% ทั้งทางด้านประกันสขภาพ โรคร้ายแรง ซึ่งปี 2566 ที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของประกันสุขภาพส่วนบุคคล เป็นไปในทิศทางเชิงบวก 11.48%
ดังนั้น ปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่การรับประกันความเสี่ยงภัยรายย่อยด้านส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ ประกันภัยการเดินทาง ประกันภัยบ้าน และประกันภัยความรับผิด ตลอดไปจนถึงการพัฒนาประกันภัย Carrier Liability Insurance, Cyber Security Insurance และ Professional Liability Insurance ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในแต่ละประเภทธุรกิจ โดยเดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมาบริษัทฯออกกรมธรรม์คุ้มครองประกันเดินทาง-ท่องเที่ยวที่คุ้มครองอย่างครอบคลุมทั่วโลก และมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยเดินทางภายในประเทศ คาดว่าจะให้บริการช่วงไตรมาส 2 ของปี 2567
“บริษัทฯ ยังมีนโยบายที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองแนวคิด ESG Responsibilities ออกมาในรูปแบบ Green Insurance ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ช่วยส่งเสริมการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ จึงนำแนวคิด Green Insurance มาพัฒนาร่วมกับผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีอยู่ อาทิ ให้ความคุ้มครองการทดแทนสิ่งปลูกสร้างหรืออาคารที่สร้างขึ้นใหม่ด้วยวัสดุในการปลูกสร้างที่เป็น Eco-Friendly ในการประกันอัคคีภัย นอกจากนี้จะสร้างแรงจูงใจด้วยการให้ส่วนลดเบี้ยประกันพิเศษ เพื่อสนับสนุนให้ใช้วัสดุในการปลูกสร้างที่เป็น Eco-Friendly มากขึ้น ถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ แต่เชื่อว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะช่วยลดปัญหาของสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้” นางฐวิกาญจน์ฯ กล่าว
ในส่วนของการพัฒนาด้านเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาระบบงาน Non-Motor บริษัทฯ มี Roadmap ในการพัฒนาระบบ New Core System โดยมีการเริ่มใช้งานระบบ New Core Phase 1 ในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันภัยการเดินทาง เมื่อช่วงธันวาคม 2566 และ Phase ต่อไปในปี 2567 จะเป็นในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพระบบการบริการประกันภัยและสินไหมรองรับการเติบโตของบริษัทฯ
“นอกเหนือจากความคุ้มครองที่วิริยะประกันภัยดูแลลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง วิริยะประกันภัยได้ยกระดับการดูแลลูกค้าดั่งแคมเปญบริษัทฯ ในปี 2567 ที่ว่า “มากกว่าความคุ้มครอง คือ ความคุ้มค่า” ผ่านโครงการ Viriyah Privileges ด้วยการมอบหลากหลายสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีตลอดระยะเวลาที่เป็นสมาชิกของวิริยะประกันภัยตามเงื่อนไขของโครงการ โดยร่วมกับพันธมิตรแบรนด์ดังมากมาย และโรงพยาบาลชั้นนำ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันภัย ในการส่งมอบบริการและประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ” นางฐวิกาญจน์ฯ กล่าว