22 กุมภาพันธ์ 2567 : นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) (TQR) เปิดเผยว่า ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา อัตราเบี้ยการรับประกันภัยต่อในต่างประเทศได้มีการปรับเพิ่มมากขึ้นในระดับสูงถึง 30% รวมถึงเงื่อนไขการรับประกันภัยต่อก็มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น เนื่องจากภัยธรรมชาติที่รุนแรง และเกิดขึ้นบ่อยครั้งในหลายภูมิภาคทั่วโลก สภาพเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อเสถียรภาพและบรรยากาศการดำเนินธุรกิจในภาพรวม
ส่งผลให้ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อต้องเผชิญกับความท้าทายเป็นอย่างมาก ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีการปรับกลยุทธ์ในการบริหารธุรกิจ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างรายได้แบบยั่งยืน เห็นได้จากผลการดำเนินงานในปี 2566 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566) มีกำไรสุทธิ 100.31 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และมีรายได้รวม 249.93 ล้านบาท สาเหตุหลักที่ผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้เพิ่มจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อแบบพัฒนาช่องทางและผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกัน (Alternative Business)
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 มีมติจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท รวมเป็นเงินปันผลจ่าย 92.00 ล้านบาท โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้วในปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.174 บาท คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 40.02 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2566 ดังนั้น คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายจากกำไรสุทธิ ประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.226 บาท คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 51.98 ล้านบาท ซึ่งจะจ่ายจากกำไรสุทธิของบริษัทฯ โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 15 มีนาคม 2567 กำหนดวันที่จ่ายปันผลวันที่ 17 พฤษภาคม 2567
“ในปี 2566 ถือเป็นปีที่ท้าทายสำหรับ TQR ด้วยหลายปัจจัย ทั้งการปรับขึ้นของอัตราเบี้ยการรับประกันภัยต่อ สภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง รวมถึงการแข่งขันด้านเทคโนโลยีในการประกอบธุรกิจที่รุนแรงมากขึ้น แต่ในแง่ของผลการดำเนินงาน ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ” นายชนะพันธุ์ กล่าว
นางยุพเรศ พิริยะพันธุ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที คิว อาร์ จำกัด (มหาชน) (TQR) กล่าวว่า ในปี 2567 แนวโน้มธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อยังมีการเติบโตที่ดี เนื่องจากบริษัทฯ มีแผนการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน สามารถปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยมีการพัฒนาประกันภัยต่อรูปแบบใหม่ๆ ร่วมกับบริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) (TQM) ทั้ง ประกันรถยนต์ไฟฟ้า (EV), ประกันภัยไซเบอร์, การประกันที่เกี่ยวข้องกับ Environmental, Social and Governance : ESG รวมถึง คาร์บอนเครดิต และประกันทางด้านอุบัติเหตุ (PA) ที่ปัจจุบันผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับประกันภัยสุขภาพมากขึ้น จากค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น (Medical Inflation)
รวมถึง ประกันภัยที่เกี่ยวกับสังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ, การประกันภัยความรับผิดของกรรมการและเจ้าหน้าที่บริหาร, การประกันภัยด้านความรับผิดตามกฎหมายสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ ขณะเดียวกัน ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อแบบทั่วไป (Traditional Business) ยังคงดำเนินธุรกิจได้ตามแผนที่วางไว้
สำหรับการเข้าร่วมทุนกับ บริษัท อัลฟ่าเซค จำกัด โดย TQR ถือหุ้นในสัดส่วน 30% ช่วยเสริมธุรกิจในด้านประกันภัยต่อด้าน Cyber Security ได้อย่างครบวงจร และในอนาคตยังสามารถขยายไปในประกันภัยด้าน Digital Asset ได้อีกด้วย ทั้งนี้ หากดำเนินธุรกิจได้ตามแผน คาดว่า จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้รายได้ในส่วนของธุรกิจประกันภัยไซเบอร์เพิ่มขึ้นประมาณ 20%
ในส่วนของธุรกิจให้บริการ (Service) ของ บริษัท อาร์สแควร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน ปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการแล้วจำนวน 4 ราย ล่าสุด ร่วมลงนามในสัญญาให้บริการระบบอบรมออนไลน์ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) กับ บริษัท ฝึกอบรมและสัมมนาธรรมนิติ จำกัด ในเครือบริษัท ธรรมนิติ จำกัด (มหาชน) เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการเจรจาเพิ่มเติมอีกหลายราย และมั่นใจว่า ปัจจัยเหล่านี้ จะเป็นส่วนช่วยผลักดันให้รายได้ในปีนี้เติบโตที่ระดับ 10% จากปีก่อน สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ ด้วยการลงทุนเพิ่ม ในรูปแบบ M&A และยังคงเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของ TQR โดยเข้าทำการศึกษากับบริษัทที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ที่มีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง