10 มกราคม 2567 : เข้าสู่สัปดาห์ที่สองของเดือนมกราคมของปี 2567 ภาพการลงทุนหุ้นไทยก็ยังพยายามเดินหน้าสู่ความหวัง ดัชนีหุ้นไทย(SET Index) บวกบ้างลบบ้างสลับกันไป แบบเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้เลย SET Index ประจำวันที่ 5 ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา ปิดที่ 1,427.96จุด ลดลง -6.63 จุด มูลค่าซื้อขาย 51,141.32 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศขาย -3,096.17 ล้านบาท
เมื่อเข้าสู่ศักราชใหม่ นักลงทุนหลายคนเตรียมปรับแผนรับมือลงทุน เพื่อประคับประคองผลตอบแทนดีกว่าตลาด ล่าสุด ทางสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดผลสำรวจความคิดเห็นด้านการลงทุนปีนี้ ของผู้ลงทุนสถาบัน เพื่อมุ่งหวังให้ผลสำรวจนี้เป็นแนวทาง หลักคิดด้านการออมและลงทุน และช่วยให้ภาพรวมในการจัดแบ่งเงินลงทุน เพื่อที่ภาคธุรกิจ ผู้ลงทุน และประชาชนทั่วไปจะได้ประโยชน์ และสามารถสร้างความยั่งยืนผ่านเงินลงทุนของกิจการหรือของตนเองได้ต่อไป
โดย "ชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC)" ระบุว่า จากการรวบรวมผลสำรวจความคิดเห็นด้านการลงทุนปีนี้ของผู้ลงทุนสถาบัน โดยสรุปได้ว่า ทีมผู้จัดการกองทุนไทยเกือบทั้งหมดมีมุมมองเชิงบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป โดยทิศทางของอัตราดอกเบี้ย ระดับของเงินเฟ้อและการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP Growth) จะเป็นปัจจัยบวกที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในประเทศ ขณะที่เสถียรภาพทางการเมืองจะเป็นปัจจัยลบที่อาจฉุดรั้งการลงทุนให้ไม่เติบโตอย่างเต็มศักยภาพได้
นอกจากนีั เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2567 จะรักษาระดับอยู่อัตราเดิม (อัตราดอกเบี้ยนโยบายเปลี่ยนแปลงล่าสุด ณ 29 พ.ย. 2566 อยู่ที่ 2.5%) หรืออาจมีการปรับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 2-2.25% ซึ่งเป็นไปเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจในภาพรวม ให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ
ส่วนการจัดน้ำหนักการลงทุนในประเทศนั้น ภาพรวมทีมผู้จัดการกองทุนมีมุมมองการลงทุนเป็นกลางค่อนไปในทางบวก (Neutral to Overweight) เน้นให้น้ำหนักการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะปานกลางถึงยาว ส่วนการลงทุนในตราสารทุนจะมีมุมมองเป็นกลางค่อนไปในทางบวก เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) เป็นหลัก
กลุ่มอุตสาหกรรมในดวงใจ คือ กลุ่มการค้าพาณิชย์ กลุ่มบริการทางการแพทย์ กลุ่มท่องเที่ยวสันทนาการ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มอิเลคทรอนิคส์ สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกมีมุมมองเป็นกลาง โดยเน้นการลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ ทีมผู้จัดการกองทุนยังให้ความสำคัญต่อการลงทุนในรูปแบบความยั่งยืน (ESG Investing) สำหรับการลงทุนในประเทศจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่โดยเฉพาะที่ให้ความสำคัญต่อปัจจัยด้าน สิ่งแวดล้อม รวมถึงการลงทุนในหุ้นรูปแบบผสมผสาน (ESG Equity Blending) รวมทั้งคาดหวังที่จะออกกองทุนที่เน้นลงทุนเพื่อสร้างความยั่งยืนในต่างประเทศรูปแบบ FIF เพื่อนำเสนอให้แก่ผู้ลงทุนไทยให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ส่วนมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกในระยะ 1 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่เชื่อว่าในภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง เช่นเดียวกับการสำรวจมุมมองครั้งก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากอัตราการเติบโตของ GDP ในประเทศเศรษฐกิจหลักที่ส่วนใหญ่ชะลอตัวลง และผลกระทบจากภาวะสงคราม อย่างไรก็ตาม ทางผู้จัดการกองทุนมั่นใจว่า อัตราดอกเบี้ยจะค่อยๆ ทยอยลดระดับลงได้ในระยะถัดไป คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ4.5-4.75% ณ สิ้นปี 2567 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยให้เศรษฐกิจโลกจะปรับตัวได้ดีขึ้นระยะปานกลาง
สำหรับการจัดน้ำหนักการลงทุนทั่วโลกยังคง มองว่า ผลกระทบของเศรษฐกิจโลกไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค ขณะที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) ทีมผู้จัดการกองทุนมีมุมมองเป็นกลางค่อนข้างไปในทางบวก ขณะที่มีมุมมองเป็นกลางต่อกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) สำหรับประเภทสินทรัพย์เพื่อการลงทุนนั้น ในภาพรวมตราสารหนี้มีความน่าสนใจกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอื่น โดยให้น้ำหนักไปที่ตราสารหนี้ระยะยาวของสหรัฐอเมริกาและยุโรป ส่วนการลงทุนในหุ้นทั่วโลกมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral)
กรณีลงทุนจะเน้นลงทุนเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมากกว่าประเทศตลาดเกิดใหม่เล็กน้อย สำหรับประเทศที่น่าสนใจลงทุนในหุ้น ได้แก่สหรัฐอเมริกาและอินเดีย โดย กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มบริการสื่อสารกลุ่มอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคทั้งสินค้าพื้นฐานและฟุ่มเฟือย และกลุ่มบริการทางการแพทย์เป็นกลุ่มที่มีความโดดเด่นกว่ากลุ่มอื่น ส่วนของสินทรัพย์การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกยังคงให้น้ำหนักปานกลางโดยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจ