3 ตุลาคม 2566 : ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยว่า ท่ามกลางความท้าทายใหม่ที่เกิดอย่างต่อเนื่อง บริบทของธุรกิจการเงินในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่งผลให้วิถีการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริษัทฯ จึงมีแผนที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและดำเนินธุรกิจตามทิศทางเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสมต่อภาวะตสาหกรรมและการแข่งขันด้วยการลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่จะก่อให้เกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดผ่านแผนการปรับโครงสร้างของบริษัทฯ
โดยการจัดตั้ง บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BKIH เพื่อประกอบธุรกิจเป็นบริษัทลงทุน (Holding Company) ในธุรกิจอื่นๆ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัยที่เป็นธุรกิจหลัก และที่นอกเหนือจากธุรกิจประกันภัย โดยบริษัทโฮลดิ้งส์จะมีบทบาทในด้านการกำหนดนโยบาย กำกับดูแลและบริหารจัดการกลุ่มธุรกิจให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์โดยรวม ตลอดจนบริหารจัดการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่สร้างประโยชน์ให้ทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน
BKIH จะก้าวผ่านความท้าทายและเติบโตไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งด้วยวิสัยทัศน์ “มุ่งสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนผ่านธุรกิจประกันภัยและธุรกิจอื่นที่หลากหลาย” พร้อมด้วยพันธกิจ “สร้างผลประกอบการที่ดีผ่านการลงทุนในธุรกิจหลักด้านการประกันภัย และธุรกิจอื่นที่มีศักยภาพ ภายใต้หลักธรรมาภิบาล โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มให้เติบโตอย่างยั่งยืน” เพื่อนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จในอนาคต
สำหรับโอกาสทางธุรกิจและประโยชน์ของการปรับโครงสร้างบริษัทฯ นั้นจะเป็นการสร้างประโยชน์ให้แก่นักลงทุนอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว พร้อมยกระดับการบริการให้เข้าถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมายและเป็นวงกว้าง ส่งผลดีต่อผู้บริโภค ด้วยการตั้งทีมบริหารที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละธุรกิจ นำไปสู่การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านกลยุทธ์การออกแบบผลิตภัณฑ์ สร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย มุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด
สำหรับการดำเนินธุรกิจในอนาคต ภายหลังการปรับโครงสร้างการถือหุ้น บริษัทฯ วางแผนจะดำเนินธุรกิจผ่าน 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. กลุ่มธุรกิจหลัก ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย โดยจะมีขนาดสินทรัพย์รวมกัน ไม่น้อยกว่า 75% ของสินทรัพย์รวมของ BKIH ประกอบด้วย 3 สายงานธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจประกันวินาศภัยในประเทศไทย (Non-Life Insurance) ธุรกิจประกันภัยในต่างประเทศ (International Insurance) และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัย (Insurance Related)
2. กลุ่มธุรกิจอื่น ดำเนินธุรกิจนอกเหนือจากการประกันภัย โดยจะมีขนาดของสินทรัพย์รวมกันไม่เกิน 25% ของสินทรัพย์รวมของ BKIH ซึ่งบริษัทโฮลดิ้งส์จะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการลงทุนใน ธุรกิจที่มีแนวโน้มจะส่งเสริมธุรกิจประกันภัย และ/หรือธุรกิจที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ นักลงทุนและผู้บริโภค โดย BKIH กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาในธุรกิจต่างๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อเป็นแนวทางการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ อาทิ การเข้าไปลงทุนด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีและนวัตกรรมใน อุตสาหกรรมประกันภัย เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจ ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่มีความหลากหลายในยุคดิจิทัล พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่สะดวก รวดเร็ว และง่ายต่อการใช้งานด้วยรูปแบบ Zero-Touch Customer Experience
สำหรับเป้าหมายในอนาคตของ BKIH ธุรกิจหลักก็คือ กรุงเทพประกันภัย ฉะนั้นในช่วงแรกเกือบ 100% ผลประกอบการของโฮลดิ้งส์ก็คือผลประกอบการของกรุงเทพประกันภัย แต่จากนั้น BKIH ก็จะขยายกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจประกันภัย โดยจะก้าวไปสู่ บริษัทเทคโนโลยี “เทค-คอมพานี” (Tech Company) โดยการร่วมทุนกับสตาร์ทอัพ ที่นำ AI Platfrom เข้ามาปร้บใช้เป็น DIGITAL INSURANCE และสร้างความเป็น zero touch experience หมายถึง กระบวนการทุกขั้นตอนที่รองรับการบริการจะเป็นการทำงานผ่าน อัลกอริทึม (Algorithm) ภายในกระการเรียนรู้ปัญญาประดิษฐ์
ดังนั้น จึงต้องหาผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมจัดตั้งบริษัทฯ และจะต้องสร้างประโยชน์และทดลองใช้ให้ตอบโจทย์พนักงานกรุงเทพประกันภัยก่อน ในระยะถัดไปคงสามารถตอบโจทย์ของอุตสาหกรรมได้ด้วย อีกทั้งยังมองถึงการสร้างศูนย์ตรวจสภาพรถยนต์ เพื่อสร้างการบริการด้านการประกันภัยให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
"โฮลดิ้งส์ จะได้รับเงิน คือ เงินปันผลที่เกิดจากการลงทุนของกรุงเทพประกันภัย ฉะนั้นเงินลงทุนของโฮลดิ้งส์ในอนาคต อาจจะมาจากหลายทาง เช่น กู้ธนาคาร ออกหุ้นกู้ เพื่อให้ได้เงินไปลงทุนในธุรกิจที่ตั้งเป้าหมายไว้ คาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาช่วง 2 ปีแรก หรือภายในปี 2568 เพื่อให้ได้แนวทางที่ชัดเจนก่อนตัดสินใจลงทุน" ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวเสริม
ด้านความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างนั้น บริษัทฯ จะมีการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 ในวันที่ 6 ตุลาคม 2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติแผนการปรับโครงสร้าง และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้น BKIH ซึ่งปัจจุบันได้จัดตั้งบริษัทแล้ว จะดำเนินการยื่นไฟลิ่ง (แบบ 69/247-1) คาดว่าจะใช้เวลาสูงสุดไม่เกิน 45 วัน ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) เพื่อพิจารณาต่อไป
โดยคาดว่าภายหลังจากสำนักงาน ก.ล.ต. อนุมัติ จะเข้าสู่ขั้นตอนการทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ BKI โดย BKIH จะออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BKIH เพื่อแลกกับหุ้นสามัญของ BKI ในอัตราเท่ากับ 1 หุ้นสามัญของ BKI ต่อ 1 หุ้นสามัญของ BKIH โดยมีจำนวนหุ้น 106 ล้านหุ้นซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 และภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทฯ เสร็จสิ้นแล้ว BKI จะดำเนินการเพิกถอนหุ้นของบริษัทฯ ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ BKIH จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนที่หุ้นของบริษัทฯ ในวันเดียวกันกับที่หุ้นของบริษัทฯ ถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 เช่นเดียวกัน
"ภายหลังจากการเกิดขึ้นของ บมจ.บีเคไอ โฮลดิ้งส์ ธุรกิจหลักของโฮลดิ้งส์ ก็คือ กรุงเทพประกันภัย นั่นคือการยกจากบีเคไอปัจจุบันไปสู่ บีเคไอ โฮลดิ้งส์ หรือ บีเคไอ โฮลดิ้งส์มีบริษัทย่อย คือ กรุงเทพประกันภัย ที่ทำธุรกิจรับประกันวินาศภัย นั่นหมายความว่าสิ่งที่เกิดกระบวนเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ คือกระบวนการในการสวอปหุ้น หรือเป็นการแลกหุ้นจากผู้ถือหุ้นกรุงเทพประกันภัย ขึ้นไปเป็นผู้ถือหุ้นของ บีเคไอ โฮลดิ้งส์ โดยคิดเป็นอัตรา 1 : 1 โดยบริษัทฯ จะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบและหลังจากนั้นผู้ถือหุ้นมีเวลาในการยื่นคำร้องภายใน 45 วัน" ดร.อภิสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงแรกรายได้ของโฮลดิ้งส์ มาจากกรุงเทพประกันภัยเต็มจำนวน โดยโฮลดิ้งส์ ได้เงินจากกรุงเทพประกันภัยผ่านเงินปันผล โดยกรุงเทพประกันภัยล่าสุดมีกำไรสุทธิ 3,000 ล้านบาท โดยมีจำนวนหุ้น 106 ล้านหุ้น คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 30 บาท นโยบายการจ่ายปันผล 60% เท่ากับว่าจ่ายปันผลให้ BKIH จำนวน 18 บาท/หุ้น หรือประมาณ 1,800 ล้านบาท และ BKIH ก็ต้องจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น โดยคาดว่าในปีแรกผู้ถือหุ้นโฮลดิ้งส์ จะได้รับเงินปันผลอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 15 บาท/หุ้น เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ผู้ถือหุ้นของ BKI ที่เข้าร่วมการแลกเปลี่ยนหุ้น หรือตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์จาก BKIH จะไม่ได้รับผลกระทบทางภาษีใดๆ อันเป็นผลจากธุรกรรมการแลกหุ้น การเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมโอกาสครั้งสำคัญ ก้าวใหม่ของ BKIH กับความมุ่งมั่นพัฒนายกระดับองค์กรในทุกมิติ ขับเคลื่อนธุรกิจประกันภัยและธุรกิจที่หลากหลายให้เติบโตไปข้างหน้าอย่างไร้ขีดจำกัด เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มสู่ความมั่นคงอย่างยั่งยืน โดยยังคงยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจ บนพื้นฐานของการกำกับดูเเลกิจการที่ดี โปร่งใสและเป็นธรรมคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งเเวดล้อม สังคม เเละธรรมาภิบาล เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคมควบคู่ไปกับการมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างสมดุลต่อไป