14 กันยายน 2566 : นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เกษตรฯ ได้เน้นนโยบายสำคัญในด้านการพัฒนาระบบประกันภัยภาคเกษตร ซึ่ง สศก. ในฐานะหน่วยงานเนวิเกเตอร์ (Navigator) หรือผู้นำทางด้านเศรษฐกิจการเกษตร ตระหนักถึงความสำคัญของการให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมแก่เกษตรกร ชาวสวนทุเรียนจากภัยอันเกิดจากลมพายุหรือวาตภัยที่มากับพายุฤดูร้อน ในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – มิถุนายน ของทุกปี ที่เป็นช่วงออกผลผลิตคาบเกี่ยวกับช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตทุเรียนของภาคตะวันออก เนื่องจากเป็นความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อรายได้มากที่สุด
อีกทั้ง ยังเป็นภัยธรรมชาติที่ป้องกันและควบคุมความเสียหายได้ยาก ทุเรียนเป็นราชาไม้ผลเศรษฐกิจมูลค่า สูง สร้างรายได้จากการส่งออกแก่ประเทศอย่างมหาศาล โดยในปี 2560 (มกราคม – กรกฎาคม) ประเทศไทยส่งออกทุเรียนสด คิดเป็นมูลค่ากว่า 117,400 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา และถือครองส่วนแบ่งตลาดโลก ถึงกว่าร้อยละ 80
การประสานความร่วมมือระหว่าง 4 หน่วยงานในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่ทุกฝ่ายจะได้ร่วมกันพัฒนา ระบบประกันภัยภาคการเกษตรให้ครอบคลุมความเสี่ยงในมิติใหม่ๆ ก้าวหน้าด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ แม่นยำ จากการใช้วิทยาศาสตร์และการมีระบบสารสนเทศด้านการเกษตรที่สมบูรณ์ รองรับและตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกร อันจะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเสริมการให้ความคุ้มครองและดูแลเกษตรกรไทยร่วมกัน ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากนี้ สศก. จะเร่งผลักดันให้เป็นรูปธรรม และพร้อมขยายผลไปยังสินค้าเกษตรชนิดอื่นๆ ต่อไป
นายฉันทานนท์ กล่าวต่อไปว่า การพัฒนาประกันภัยทุเรียนที่ใช้ความเร็วลมเป็นดัชนีภูมิอากาศ (Weather Index Insurance) เป็นโครงการนำร่องภายใต้ MOU ฉบับนี้ และนับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่จะมีการนำ “ความเร็วลม” มาใช้ในระบบประกันภัยภาคการเกษตร โดยในอดีตที่ผ่านมามีการใช้ "ปริมาณน้ำฝน" เป็นดัชนีภูมิอากาศในกรมธรรม์ประกันภัยข้าว ลำไย อ้อย และมันสำปะหลัง แต่เพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นแนวคิดใหม่ที่ยังไม่มีผลการศึกษาหรืองานวิจัยที่บ่งบอกถึงระดับความรุนแรงของลม ที่ส่งผลต่อการหลุดร่วงของผลทุเรียนนช่วงฤดูเก็บเกี่ยว จึงมีความจำเป็นในการจัดทำสนามทดลอง (Sandbox) เพื่อติดตั้งเซนเซอร์วัดความเร็วลม ทิศทางลม ความเข้มแสง และความชื้นในอากาศ รวมถึงการหาจุดติดตั้งที่เหมาะสมกับลักษณะของพื้นที่และร่องลม ในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้พื้นที่ภาคตะวันออกทดลองประมาณ 500 ไร่ เฉลี่ย 10 ไร่ ต่อ 1 เครื่อง พร้อมทั้งพัฒนาระบบสานสนเทศ เพื่อรองรับการคำนวณหาความเร็วลมที่จะนำไปใช้เป็นค่าวิกฤต เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนารูปแบบของประกันภัยทุเรียนและกำหนดค่าเบี้ยประกันภัยต่อไป
ความรุนแรงของลมที่ส่งผลต่อการหลุดร่วงของผลทุเรียนในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว จึงมีความจำเป็นในการจัดทำสนามทดลอง (Sandbox) เพื่อติดตั้งเซนเซอร์วัดความเร็วของลม ทิศทางลม ความเข้มแสง และความชื้นในอากาศ รวมถึงการหาจุดติดตั้งที่ เหมาะสมกับลักษณะของพื้นที่และร่องลม พร้อมทั้งพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศเพื่อรองรับการคำนวณหาค่าความเร็วลมที่จะ นำไปใช้เป็นค่าวิกฤต เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนารูปแบบกองประกันและกำหนดค่าเบี้ยประกันต่อไป
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า สำนักงาน คปภ.ได้ให้ความสำคัญและส่งเสริมการประกันภัยด้านการเกษตรมาอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนภาคธุรกิจ ประกันภัย พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ครอบคลุมพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สำคัญและจำเป็น อาทิ การประกันภัยข้าวนาปี การประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และได้ต่อยอดไปยังพืชผลชนิดอื่นๆ ให้กับเกษตรกรของ ประเทศ จึงร่วมกับธุรกิจประกันภัยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตามภูมิภาคหรือพื้นที่เฉพาะ เช่น การประกันภัยทุเรียนภูเขาไฟ ศรีสะเกษ การประกันภัยสวนยางพารา และการประกันภัยโคนม โคเนื้อ เป็นต้น
โดยปัจจุบันมีกรมธรรม์ประกันภัยสวนทุเรียนที่ให้ ความคุ้มครองความเสียหายโดยสิ้นเชิงจากอุบัติเหตุและภัยธรรมชาติ และมีกรมธรรม์ประกันภัยทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ โดยให้ความคุ้มครองความเสียหายโดยสิ้นเชิงจากอุบัติเหตุและภัยธรรมชาติ และมีกรมธรรม์ประกันภัยทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ นอกจากนั้น กรมธรรม์ประกันภัยทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ ยังให้ความคุ้มครองความเสียหายบางส่วนของต้นทุเรียน อันเกิดจากภัยลมพายุ ซึ่งภัยดังกล่าวผู้ว่าราชการจังหวัดได้มีการประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน ซึ่งทั้งสองกรมธรรม์ดังกล่าว ยังไม่ได้รับความสนใจจากเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน
ดังนั้น การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เพื่อพัฒนาระบบประกันภัยภาคการเกษตร โดยการนำประกันภัยทุเรียน ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศมาพัฒนาการสำรวจภัยของผลิตภัณฑ์ภาคการเกษตร เป็นการนำร่องในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาเป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ IoT และระบบภูมิสารสนเทศ GIS เทคโนโลยีที่สามารถ วัดความเร็วลม โดยจะมีการนำ “ความเร็วลม” มาประเมินความเสียหายและจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับเกษตรกร ซึ่งนับเป็นครั้ง แรกของประเทศไทย
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ปฏิบัติการแทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า ในความร่วมมือครั้งนี้ เนคเทค สวทช. ในฐานะ หน่วยงานวิจัยพัฒนาที่มีภารกิจสำคัญในการทำหน้าที่เชิงออกแบบและวิศวกรรม เสมือนเป็น “เครื่องจักรสำคัญเพื่อสร้างฐานราก ทางเทคโนโลยีขั้นสูงให้กับประเทศ จะนำผลงานวิจัยนวัตกรรมเพื่อการเกษตรยุคใหม่ ที่มีชื่อว่า “WiMaRC: "ไวมาก”
ซึ่งเป็นระบบ ตรวจวัดด้วยเซนเซอร์แบบเครือข่ายไร้สาย เพื่อการจัดการและควบคุมอัตโนมัติ ทำงานภายใต้ Platform IoT และแสดงผลแบบ เรียลไทม์ผ่านเว็บแอปพลิเคชัน ใช้ในการติดตามสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อการทำการเกษตรในพื้นที่เพาะปลูกแบบทันที เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกผ่านโทรศัพท์มือถือ
โดยในระยะแรกจะเริ่มจากความเร็วลม ทิศทางลม ความเข้มแสง ความชื้น อากาศ เป็นหลัก และในระยะถัดไป จะเพิ่มเติมการใช้เซนเซอร์ความชื้นดินร่วมกับการตรวจวัดปริมาณน้ำฝน และเทคโนโลยี AI เข้า มาช่วยในการวิเคราะห์ คาดการณ์ เพื่อแจ้งเตือนเกษตรกรได้อย่างทันท่วงที โดยข้อมูลที่ได้จากระบบไวมากจะทำงานแปลผลร่วมกับ ข้อมูลของ GISTDA และสำนักงาน คปภ. ซึ่งจะนำผลลัพธ์ที่ได้ไปจัดทำเป็นเครื่องมือในการให้บริการรับประกันภัยผลผลิตทางด้าน การเกษตร ให้แก่เกษตรกรได้อย่างเหมาะสมต่อไป
ดร.ปกรณ์ ลาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ กล่าวว่า ตลอดระยะวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา GISTDA มุ่งมั่นในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อวางแผน และบริหารจัดการเชิงพื้นที่ ทั้งในสถานการณ์ปกติและเมื่อเกิดภัยพิบัติ ที่เป็นวาระสำคัญของประเทศ เช่น ภัยพิบัติน้ำท่วม นํ้าแล้ง ไฟป่าหมอกควัน โดยเฉพาะการติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากดาวเทียม ร่วมกับเทคโนโลยีสำรวจ ระยะไกลอื่นๆ เช่น
สถานีตรวจวัดอากาศทางการเกษตร เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลสภาพอากาศที่มีผลต่อการเพาะปลูกพืช เพื่อให้ เกษตรกรไทยนำข้อมูลที่ทันสมัย และเป็นปัจจุบันไปใช้วางแผนการเพาะปลูกตามฤดูกาล และป้องกันผลกระทบจากปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติในพื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ อย่างท่วงที
นอกจากนี้ GSTDA ยังให้บริการข้อมูลต่างๆ เหล่านี้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ภาคการศึกษา และประชาชนทั่วไป ให้สามารถเข้าถึงและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ตามภารกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป