5 กันยายน 2566 : หลังจากหุ้นกู้หลายบริษัทเริ่มสำแดงอิทธิฤทธ์ ไม่สามารถชำระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถออนได้ จนนักลงทุนสายช็อปหุ้นกู้นอนไม่หลับกันเลยทีเดียว สร้างความกังวลใจอย่างสาหัส เริ่มจากหุ้นกู้ของ STARK หุ้นกู้ของ CHO หุ้นกู้ของALL หุ้นกู้ของ CGD
ล่าสุดหุ้นกู้อาณาจักร JKN ของ “แอน จักรพงษ์” แจ้งว่า หุ้นกู้รุ่น JKN239A ที่ครบกำหนดไถ่ถอน 1 ก.ย.2566 มูลค่ารวม 609.98 ล้านบาท สามารถชำระเงินต้นได้เพียง 156.6 ล้านบาท มีเหลือยอดค้างชำระอีก 443.4 ล้านบาท พร้อมกับนัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ วันที่29 ก.ย.นี้ เพื่อขอผ่อนผันปรับแผนชำระหนี้ จากที่ดูกระแสเงินสดของ JKN เมื่อเทียบกับวงเงินหุ้นกู้ที่ต้องชำระฯ แทบจะมีความเป็นไปได้ยากมาก เราคงต้องลุ้นกันต่อไปว่าไผ่ในมือที่ใช้แก้ปัญหานี้หมดหหรือยัง
สำหรับหุ้นกู้ของ JKN รวมทั้งสิ้น 7 ชุดด้วยกัน วงเงินต้นรวมปรระมาณ 3,360.20 ล้านบาท อีก 6 ชุดที่เหลือคิดเป็นวงเงิน 2,760.20 ล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนช่วงปี 2567-2568 สำหรับหุ้นที่มีอายุในปี 2568 ดูยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ เว้นแต่ว่า JKN เงินหมดก้นถุงจริงๆ ไม่ว่าหุ้นกู้ชุดใกล้หรือไกล ใครมีหุ้นกู้บริษัทนี้คงผวาต่อไป แต่หากมีแผนแก้ไขหุ้นกู้ที่มีปัญหาได้ หุ้นกู้ปีถัดไปความเสี่ยงอาจลดลงบ้าง ดังนั้น วันที่ 29 ก.ย.นี้ ทั้งผู้บริหารและผู้ถือหุ้นกู้จะออกบทสรุปอย่างไร
ด้านภาพรวมของหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดการไถ่ถอนปีนี้ ข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ณ วันที่ 1 ก.ย. 2566 พบหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระหนี้ (Default Payment : DP) ทั้งสิ้น 6 บริษัท จำนวน 22 รุ่น มูลค่ากว่า 18,430 ล้านบาท (ไม่รวม บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN)
ประกอบด้วย บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK จำนวน 5 รุ่น มูลค่าหนี้คงค้าง 9,198.4 ล้านบาท, บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL จำนวน 7 รุ่น มูลค่าหนี้คงค้างรวม 2,334.2 ล้านบาท, บริษัท เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ACAP จำนวน 7 รุ่น มูลค่าหนี้คงค้างรวม 2,575.38 ล้านบาท
บริษัท เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ APEX จำนวน 1 รุ่น มีมูลค่าหนี้คงค้าง 765 ล้านบาท, บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IFEC จำนวน 1 รุ่น มีมูลค่าหนี้คงค้าง 3,000 ล้านบาท และบริษัท เดซติเนชั่น โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (DR) จำนวน 1 รุ่น มีมูลค่าหนี้คงค้าง 557 ล้านบาท
ส่วนกรณี JKN สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ได้ขึ้นเครื่องหมาย IC (Investor Caution) เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2566 ที่ผ่านมา เพื่อให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มหุ้นกู้ของJKN หากบริษัทไม่สามารถชำระหนี้หุ้นกู้รุ่น JKN239A ที่ครบกำหนดในวันที่ 1 ก.ย. 2566 ได้ ทางสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย จะขึ้นเครื่องหมายผิดนัดชำระหนี้ (DF) ในวันที่ 4 ก.ย. จำนวน 1 รุ่น JKN239A
ขณะเดียวกันทางสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ยังคงมั่นใจว่า ยอดออกหุ้นกู้ปี2566ยังคงแตะที่ระดับ 1ล้านล้านบาท ช่วงครึ่งหลังของปีคาดว่ามีหุ้นกู้ออกใหม่ 2-2.2แสนล้านบาท มียอดหุ้นกู้ที่จะมีการRolloverประมาณ 2-2.4แสนล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรกยอดออกหุ้นกู้ประมาณ 617,664 ล้านบาท ปัจจุบันตลาดหุ้นกู้ไทยแตะ4.8ล้านล้านบาท
โดยนางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ThaiBMA ระบุว่า หุ้นกู้ออกใหม่ที่ยื่นไฟลิ่งกับก.ล.ต.มีกว่า 3 หมื่นล้านบาท ในวงนี้มีเรตติ้งสูงBBB-ขึ้นไปเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงเชื่อถือได้ทำให้นักลงทุนยังเชื่อมั่นลงทุน รับว่ากรณี STARK ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนพอสมควร และกระทบหุ้นกู้ออกใหม่ที่เรตติ้งต่ำกว่า BB+ถึงไร้เรตติ้งที่ขายยากมากขึ้น สำหรับหุ้นกู้ที่ครบกำหนดใน Q2 ประมาณ 90% อยู่ในกลุ่มเรตติ้งดีตั้งแต่A-ขึ้นไปถึง 240,417 ล้านบาท กลุ่ม BBB มี 54.81 ล้านบาท และต่ำกว่า BBB-มี 11,380ล้านบาท ไม่มีเรตติ้ง 20,865 ล้านบาท
ขณะด้านตลาดรองหุ้นกู้ นายภูดินันท์ เศรษฐนันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ พัฒนาผลิตภัณฑ์การเงิน และที่ปรึกษา Equity Derivatives ธุรกิจบริหารเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT มองว่า ภาพรวมการลงทุนช่วงที่ผ่านมาในปีนี้ไม่ค่อยดีนัก จากปัจจัยลบต่างประเทศ เช่น เศรษฐกิจจีนที่ตัวเลขออกมาไม่ดี ขณะที่ตลาดฝั่งสหรัฐฯช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยดีเช่นกัน แต่ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้นจากการกลับมาฟื้นตัว ขณะที่ปัจจัยลบในประเทศ คือ หุ้นกู้เอกชนผิดนัดชำระ (default) หลายตัว ส่งผลให้ภาพรวมตลาดหุ้นกู้ปีนี้ค่อนข้างซบเซา
“หุ้นกู้ตลาดรองยังน่าสนใจ นักลงทุนมีสินค้าดีๆ ให้เลือกลงทุน ไม่ต้องรอหุ้นกู้ออกใหม่ในการลุ้นว่าจะจองซื้อทันไหม และหุ้นกู้ที่ซื้อแล้ว ไม่จำเป็นต้องถือจนครบอายุ ซื้อขายเปลี่ยนมือได้ เมื่อมีโอกาสและจังหวะ อยากแนะนำคนฝากเงินที่ชอบเงินต้นอยู่ครบ อยากให้ลองพิจารณาหุ้นกู้ดีๆที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก เนื่องจาก ผลตอบแทนของหุ้นกู้ระดับเครดิตดีๆ อย่างAAAโดยเฉลี่ยอยู่ประมาณ 2.5% หรือ BBB ประมาณ 3-4% อย่างไรก็ตตาม ยังคงแนะนำให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยง ลงทุนในหุ้นกู้หลายตัว หลากหลาย sector” นายภูดินันท์ กล่าว