8 สิงหาคม 2566 : หลังจากหุ้นกู้เอกชนที่ช่วงหลังผิดนัดชำระหนี้ค่อนข้างบ่อยครั้ง ทำให้นักลงทุนเริ่มกังวลการลงทุนในหุ้นกู้ที่ออกใหม่พอสมควร โดยเฉพาะกรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ที่นักลงทุนผวาค่อนข้างหนัก รวมถึงหุ้นกู้ออกใหม่อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยเช่นกัน
ทำให้ผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) “อริยา ติรณะประกิจ” รองกรรมการผู้จัดการ ออกมาระบุว่า จากข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ช่วงที่ผ่านมามีหลายบริษัทในอุตสาหกรรมยื่นขอใบอนุญาตเพื่อออกหุ้นกู้ขณะนี้ประมาณ 3.5หมื่นล้านบาท จำนวนนี้มีเรตติ้งตั้งแต่ BBB-ขึ้นไป ทำให้ไม่กระทบจากความเชื่อมั่นของนักลงทุน เว้นแต่หุ้นกู้ออกใหม่ที่มีเรตติ้งต่ำกว่า BB+รวมไปถึงหุ้นกู้ที่ไร้เรตติ้งจะมีความยากลำบากในการเสนอขาย
หลังจากเกิดเหตุการณ์บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK และในภาวะที่ดอกเบี้ยขาขึ้นแนอนอนว่าเอกชนที่ต้องการระดมทุน ยังคงพาเหรดกันล๊อคต้นทุนทางการเงินผ่านหุ้นกู้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดออกหุ้นกู้ปี2566ยังเติบโตแตะเกินที่ระดับ 1ล้านล้านบาท โดยช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่า มีหุ้นกู้ออกใหม่ประมาณ 2-2.2แสนล้านบาท
สำหรับภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนครึ่งปีแรก 2566 ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบบุว่า ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าคงค้าง 4.86 ล้านล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2565 ร้อยละ 6.6 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือหรืออันดับเครดิตในระดับ A ขึ้นไป (คิดเป็นร้อยละ 84 ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนทั้งหมด)
ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 มีมูลค่าการระดมทุนทั้งตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะยาวรวมทั้งสิ้น 1.14 ล้านล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 2.09 ล้านล้านบาท เนื่องจากผู้ออกตราสารหนี้ได้มีการทยอยออกและเสนอขายตราสารหนี้ เพื่อจำกัดต้นทุนอัตราดอกเบี้ยในปีที่ผ่านมาแล้ว โดยส่วนใหญ่จะเป็นการออกตราสารหนี้ระยะยาวอายุเฉลี่ย 4.33 ปี ซึ่งระยะเวลาปรับลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 5.11 ปี ผู้ออกตราสารหนี้รายใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ พลังงานและสาธารณูปโภค และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ชำระหนี้และใช้ในกิจการของบริษัท
ทั้งนี้ สัดส่วนการเสนอขายกว่าร้อยละ 90 เป็นตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับลงทุน (investment grade) ในส่วนตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง (high-yield bond) ได้แก่ กลุ่ม non-investment grade และ unrated ส่วนใหญ่ผู้ออกตราสารหนี้จะจัดให้มีหลักประกันเพิ่มมากขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ลงทุน สำหรับตราสารระยะยาวของกลุ่ม investment grade และ high yield มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 3.46% เป็น 3.62% และจาก 6.25% เป็น 6.70% ตามลำดับ ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
ตราสารหนี้ที่มีการเสนอขายส่วนใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ A ขึ้นไป ยังสามารถเสนอขายได้ตามมูลค่าที่ตั้งไว้ จะมีเฉพาะบางบริษัทในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่เสนอขายได้ไม่ครบตามจำนวน เนื่องจากผู้ลงทุนมีความระมัดระวังการลงทุนมากขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ของบางบริษัท อย่างไรก็ดี ประเด็นดังกล่าวยังไม่ส่งผลกระทบต่อการออกตราสารหนี้ใหม่เพื่อทดแทนตราสารหนี้เดิมที่ครบกำหนด (rollover) เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่มีการตั้งเป้าหมายในการระดมทุนไว้มากกว่าจำนวนเงินที่ต้องใช้ rollover ในระดับหนึ่ง รวมถึงมีแผนสำรองในการออกหุ้นกู้รุ่นต่อไปเพิ่มเติมและใช้แหล่งเงินอื่นๆ ได้แก่ เงินทุนหมุนเวียนของกิจการ และเงินกู้จากธนาคาร เป็นต้น
ตราสารหนี้กลุ่ม high-yield bond ยังมีการขอขยายวันครบกำหนดอายุ โดยประมาณ 1 - 2 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ออกรายเดิมที่เคยขอขยายวันครบกำหนดอายุแล้ว และยังไม่สามารถออกตราสารหนี้ใหม่เพื่อทดแทนตราสารเดิมที่ครบกำหนดได้ และมักจะเป็นตราสารหนี้ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยข้อมูล ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 มีผู้ออกตราสารหนี้ที่ขอขยายอายุจำนวน 14 ราย (38 รุ่น) มูลค่าคงค้าง 13,395 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 0.28 ของทั้งระบบ) ซึ่งร้อยละ 63 อยู่ในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ มูลค่าคงค้างการขยายอายุมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 14,273 ล้านบาท เนื่องจากมีผู้ออกบางรายไถ่ถอนตราสารหนี้ที่เคยขอขยายอายุ
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (downgrade) และแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนเล็กน้อย เกิดจากปัจจัยเสี่ยงเฉพาะของแต่ละบริษัท ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2566 มีผู้ออกหุ้นกู้ที่มีการเสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่ที่มีการผิดนัดชำระหนี้จำนวน 3 ราย มูลค่าเงินต้นที่ผิดนัดรวมทั้งสิ้น 12,278.29 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.25 ของตราสารหนี้ภาคเอกชนทั้งระบบ โดยทั้งหมดเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งการผิดนัดชำระหนี้ของทั้ง 3 รายดังกล่าวเป็นปัญหาเฉพาะบริษัท ยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะตลาดตราสารหนี้โดยรวม
สำหรับข้อแนะนำเบื้องต้นในการลงทุนตราสารหนี้ภาคเอกชน 1.ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลของตราสาร เช่น หนังสือชี้ชวน แบบสรุปข้อมูลสำคัญของตราสาร (factsheet) ข้อมูลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และงบการเงิน เพื่อให้ทราบว่าบริษัทผู้ออกเป็นใคร อยู่ในอุตสาหกรรมใด เสนอขายต่อนักลงทุนประเภทใด ตราสารหนี้มีลักษณะอย่างไร มีการค้ำประกันหรือไม่ มีลักษณะด้อยสิทธิหรือไม่ อายุและอัตราดอกเบี้ยเท่าใด เงินที่ระดมทุนได้จะนำไปใช้ทำอะไร อันดับความน่าเชื่อถือเป็นอย่างไร บริษัทมีฐานะมั่นคงพอที่จะมีเงินจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นคืนได้หรือไม่ เป็นต้น
2.ผู้ลงทุนต้องประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเองว่าเหมาะสมกับตราสารหนี้ที่ตนเองจะลงทุนหรือไม่ ซึ่งความเสี่ยงในการพิจารณาที่สำคัญ เช่น ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท เป็นต้น
3.ผู้ลงทุนควรรู้ว่าตนเองเป็นผู้ลงทุนประเภทใด ผู้ลงทุนสามารถศึกษานิยามผู้ลงทุนได้จากกฎเกณฑ์ของ ก.ล.ต. หรือขอให้ผู้ให้บริการขายตราสารหนี้ช่วยตรวจสอบคุณสมบัติตนเองได้
4.ผู้ลงทุนควรมีการกระจายการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน
5.ผู้ลงทุนมือใหม่และยังไม่มีความรู้ในด้านการลงทุนตราสารหนี้อาจเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะทำหน้าที่ในการช่วยคัดเลือกตราสารที่จะลงทุนผ่านกระบวนการลงทุนต่างๆ และมีการกระจายการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอ