14 กรกฎาคม 2566 : นางสาวนริสรา ชัยวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด หรือ BlueBell เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความยินดีที่ได้แม่ทัพคนใหม่ “นางสาวสิฏ์ระสา บุญ-หลง” ประธานสายงานการตลาด ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะมาช่วยเติมเต็มความแข็งแกร่งให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นตามที่บริษัทได้เคยกำหนดเป้าไว้กว่า 15,000 ล้านบาท หรือ เติบโตเป็น 3 เท่าของปี 2565 โดยคาดว่า การขยายผลิตภัณฑ์และบริการตามที่วางแผนไว้จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทได้อย่างก้าวกระโดดอย่างแน่นอน
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา สามารถเติบโตอย่างเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 มียอดจัดจำหน่ายหุ้นกู้ไปแล้วรวมเป็นมูลค่า 5,610.50 ล้านบาท เปิดเสนอขายดีลหุ้นกู้ไปแล้วกว่า 28 ดีล ทำให้ในระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปี (นับตั้งแต่ มิถุนายน 2565) บริษัทสามารถก้าวขึ้นมาอยู่ในลำดับที่ 7 ของการเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้รายใหญ่ในตลาด (กลุ่มที่ไม่ใช่ธนาคาร) อ้างอิงจากการจัดอันดับโดยสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) และมีฐานลูกค้าลงทุนอย่างต่อเนื่องมากกว่า 2,700 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นกู้จะได้รับผลกระทบจากเหตุผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้ STARK แต่หากมองภาพรวมของตลาดหุ้นกู้ครึ่งปีหลัง 2566 แล้ว บริษัทยังมีมุมมองที่เชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นกู้จะมีทิศทางในการปรับตัวที่ดีขึ้น ซึ่งอาจเกิดได้จากปัจจัยหลักๆ ไม่ว่าจะเป็น
1. ทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มชะลอตัว โดยสหรัฐอเมริกาได้ส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงให้มาอยู่ในระดับที่เหมาะสมเมื่อเหตุการณ์เงินเฟ้อผ่านพ้นไป ดังนั้น การที่อัตราดอกเบี้ยลดความผันผวนลงและกลับมาสู่ระดับที่ดีต่อภาคธุรกิจถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นกู้มีเสถียรภาพมากขึ้น
2. การคลี่คลายอย่างต่อเนื่องของสถานการณ์โควิด 19 ที่ในระยะยาวย่อมส่งผลดีต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยวไทยที่ถือเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ หากธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยกลับมาสู่ระดับปกติ การใช้จ่ายในประเทศก็มีแนวโน้มจะกลับมาเข้มแข็งขึ้น
3. ผู้ออกตราสารหนี้ในตลาดทยอยได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ และมีบริษัทใหม่ๆ เข้ามาจัดอันดับความน่าเชื่อถือเพื่อออกหุ้นกู้เป็นจำนวนมากในปี 2566 สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและความน่าสนใจทั้งต่อผู้ระดมทุนและผู้ลงทุน
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เดินหน้าขยายผลิตภัณฑ์และบริการตามที่ได้วางแผนไว้เพื่อเป็นการตอบโจทย์ทางเลือกให้กับนักลงทุนมากยิ่งขึ้นโดยการเสริมทัพด้วยผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ซึ่งบริษัทได้รับอนุญาตให้เริ่มประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าซื้อหลักทรัพย์ที่เป็นขายหน่วยลงทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา การต่อยอดในครั้งนี้ถือเป็นกลยุทธ์หลักที่บริษัทจะสามารถเติมเต็มธุรกิจได้อย่างครบวงจรและยกระดับมาตรฐานของธุรกิจหลักทรัพย์ให้ก้าวไกลได้อย่างแน่นอน
สำหรับ นางสาวสิฏ์ระสา บุญ-หลง ประธานสายงานการตลาด กล่าวเสริมว่า การเข้ามาร่วมงานกับบลูเบลล์ ตนมีปณิธานที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพและเหมาะสมให้แก่นักลงทุนทั้งหุ้นกู้และกองทุนรวมภายใต้ความร่วมมืออย่างเต็มที่จาก 14 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำ เพื่อตอบโจทย์ทั้งฐานลูกค้าหุ้นกู้เดิมและลูกค้าใหม่ภายใต้วิสัยทัศน์ “Growing Your Wealth Together” ไปพร้อมๆ กัน
โดยทีมงานได้เตรียมพร้อมในการขยายฐานลูกค้าไว้แล้ว และคาดว่าจะสามารถต่อยอดสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ได้ถึง 5,000 ล้านบาท ภายใน 1 เดือน และได้ตามเป้าหมายที่มากกว่า 10,000 ล้านบาท ในสิ้นปี 2566 นี้แน่นอน โดยกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อน คือ การสร้าง “Best Investment Solutions” อันประกอบด้วย
1. การเสริมเครื่องไม้เครื่องมือด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ชื่อว่า “iAssis” ซึ่งออกแบบมาให้ง่ายและสะดวกสบายในการใช้งาน ตอบโจทย์ผู้แนะนำการลงทุนในยุคดิจิทัลในการช่วยบริหารพอร์ตการลงทุน
2. เติมเต็มประสบการณ์และเพิ่มการดูแลให้เป็นพิเศษแก่ทั้งลูกค้าและผู้แนะนำการลงทุน โดยเฉพาะผู้แนะนำการลงทุนที่เป็นเสมือนตัวแทนของ BlueBell ให้มีความมั่นใจใน ”บ้านแห่งการลงทุน” นี้ ผลของการทำงานที่ดีมีศักยภาพ ซึ่งจะยิ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อีกด้วย
3. ยกระดับ Wealth ของลูกค้าให้มั่งคั่งด้วยโอกาสในการเพิ่มพูนผลตอบแทนจากการลงทุนจากการบริหารพอร์ตอย่างใกล้ชิด เพราะ BlueBell ให้ความสำคัญกับประสบการณ์การดูแลแบบพรีเมี่ยมแก่ลูกค้าทุกระดับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดจากความใส่ใจ และเข้าใจความต้องการของลูกค้าไปจนถึงปัญหาที่นักลงทุนต้องเผชิญในแต่ละสถานการณ์ของการลงทุน ด้วยคำมั่นสัญญาที่ถือเสมือนว่าลูกค้าคือบุคคลสำคัญที่ต้องดูแลด้วยใจและอยู่คู่เคียงกันตลอดไป
"นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีเป้าหมายสำคัญคือการเปิด "บริษัทจัดการกองทุนรวม" เป็นของตนเองโดยคาดว่าจะทำเป็นบลจ.ขนาดเล็ก และจำหน่ายของที่คนอื่นไม่สามารถก็อปปี้ได้ หรือเราต้องเป็นผู้นำในตลาด ดังนั้นบลจ.ที่จะทำต้องทำหน้าที่ผลิตสินค้า และไม่ควรจะแบกต้นทุนใดๆ เลย โดยสินค้าจะต้องทันเหตุการณ์สำหรับช่วงนั้นๆ และมีความยั่งยืนในระยะยาว โดยทีมงานขายก็ยังอยู่ที่หลักทรัพย์บลูเบลล์ โดยจะเน้นทางด้านกองทุน private fund เนื่องจากลูกค้าเราเป็นนักลงทุนรายใหญ่ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นโอกาสที่บริษัทฯ ควรจะทำ ขณะนี้รวบรวมเอกสารเรียบร้อยแล้ว รอเวลาที่จะยื่นแบบแสดงรายการ (Filing) กับกลต." นางสาวสิฏ์ระสา กล่าวเพิ่มเติม
พร้อมกันนี้ Bluebell ยังได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ในเครือ ภายใต้ชื่อ “Black Op Solutions Co., Ltd. หรือ Black Op” ไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา โดยให้บริการด้านการให้คำปรึกษาและปฎิบัติการทางธุรกิจ (Business Advisory and Operations) ภายใต้การนำทัพของ นายอมฤต ศุขะวณิช ประธานสายงานกลยุทธ์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้และความเข้าใจในการวางแผนกลยุทธ์และการประกอบธุรกิจ มีประสบการณ์ด้านการบริหารธุรกิจและที่ปรึกษาด้านการเงินกว่า 30 ปี
นายอมฤต กล่าวเสริมว่า Black Op จะเป็นทางออกในการแก้ปัญหาด้านการวางแผน และการปฏิบัติการสำหรับธุรกิจขนาดกลาง เพราะทีมงานจะทำงานเคียงคู่ไปพร้อมๆ กับเจ้าของธุรกิจ เสมือนเป็นพนักงานของบริษัทเอง และพร้อมเป็นหน่วยจู่โจมพิเศษในการ ดำเนินงานให้บริษัทได้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ Black Op มีกลยุทธ์ที่เรียกว่า 3M แบ่งออกเป็นแกนใหญ่ๆ คือ
1. MEDIUM size business Black Op จะมุ่งเน้นไปที่การให้บริการบริษัทขนาดกลาง เพราะเป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด ในขณะที่บริษัทขนาดเล็กนั้นเจ้าของสามารถทำธุรกิจด้วยตัวเองได้ และบริษัทขนาดใหญ่มีความพร้อมทางด้านบุคลากรและการเงิน ส่วนบริษัทขนาดกลางจำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อทำให้บริษัทมีมาตรฐานสูงขึ้นเพื่อที่จะได้เติบโตได้ เจ้าของบริษัทยังต้องทำงานทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน ไม่สามารถโฟกัสไปที่การทำธุรกิจหลักของตนได้ Black Op จึงเป็นผู้ให้บริการในการช่วยเหลือบริษัทเหล่านี้
2. MAXIMIZE opportunities Black Op จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาและลงมือปฏิบัติงานเพื่อก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่บริษัทนั้นๆ ให้สามารถเก็บเกี่ยวโอกาสทางธุรกิจได้อย่างเต็มที่ และเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างธุรกิจต่อธุรกิจ (Business to Business) เอื้ออำนวยให้ธุรกิจขนาดกลางสามารถบริหารจัดการงานได้เทียบเท่าเสมือนกับบริษัทขนาดใหญ่ภายใต้ต้นทุนหรือค่าบริการที่ย่อมเยาที่บริษัทสามารถจ่ายได้
3. MAKE MONEY for clients งานของ Black Op ครอบคลุมถึง การเงิน การบัญชี การวางแผนและทำการตลาด การบริหารพนักงาน รวมถึงวิเคราะห์หาวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับธุรกิจแบบครบวงจรผ่านบุคคลากรและทีมงานที่มีความสามารถและประสบการณ์ในหลายด้านของธุรกิจ เพื่อให้บริษัทมีผลกำไรเพิ่มขึ้น และรายจ่ายที่ลดลง
นายอมฤต คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2566 นี้ Black Op จะสามารถรองรับลูกค้าที่เข้ารับบริการได้ไม่น้อยกว่า 15 บริษัท และจะสามารถปั้นธุรกิจขนาดกลางเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ใน 2-3 ปีข้างหน้าได้ไม่น้อยกว่า 5 บริษัทอย่างแน่นอน