7 มิถุนายน 2566 : นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเดือนมิถุนายน ธนาคารทิสโก้แนะนำให้นักลงทุน “ขาย” ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่มีนโยบายลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ เพราะแรงกดดันดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในตลาด ท่ามกลางส่วนต่างอัตราเงินปันผลกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Dividend Yield Gap) ที่ลดลงมาอยู่ที่ 1% จากค่าเฉลี่ยในอดีตย้อนหลัง 10 ปีอยู่ที่ราว 1.5%
รวมถึงความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจถดถอยทำให้ความต้องการเช่าพื้นที่ลดลง และโยกเงินมา “ซื้อ” พันธบัตรรัฐบาลเพื่อรับโอกาสสร้างกำไรทั้งจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ที่อยู่ในระดับสูง พร้อมสร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากการปรับขึ้นของราคาพันธบัตร (Capital gain) ที่อาจสูงถึง 10% - 20% หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยจน Fed ต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็วเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
“ในอนาคตกองรีทที่มีนโยบายลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ อาจได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ประกอบกับความต้องการใช้งานสำนักงานลดลง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากสถานการณ์ COVID –19 เห็นได้จากอัตราว่างของสำนักงาน (Office vacancy rate) ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 19% ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2558 ในทางกลับกันพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กลับมาน่าสนใจลงทุนอีกครั้ง เพราะมีปัจจัยบวกจากอัตราดอกเบี้ยที่เข้าใกล้จุดสูงสุด
โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ อยู่ที่ 5-5.25% เหนือกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปรับลดลงมาอยู่ที่่ 4.9% จากสูงสุดที่่ 9% ในเดือน มิ.ย. ปี 2565 สะท้อนว่านโยบายการเงินที่่่ระดับปัจจุบันน่าจะเพียงพอที่่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และสูงกว่าระดับอัตราดอกเบี้ยที่่เหมาะสมต่อเศรษฐกิจในระยะยาว (Neutral rate) ทำให้ช่วงนี้จะเป็นจังหวะที่ดีที่สุดที่น่าเข้าลงทุนพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้เครดิตเรตติ้งสูงของสหรัฐฯ” นายณัฐกฤติกล่าว
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นเพิ่มเติมช่วงนี้ ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุน” กองทุนหุ้นเทคโนโลยี หลังราคาหุ้นปรับลงมาในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นเมื่อปีก่อนหน้า โดยปัจจุบันหุ้นเทคโนโลยีที่อยู่ในดัชนี MSCI ACWI Index มีส่วนเกินอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น (12 m Forward P/E Premium) เฉลี่ย 5 ปี ลดลงมาอยู่ที่ 19% ถือว่าต่ำกว่าเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่เคยซื้อขายสูงสุดอยู่ที่ 39%
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังได้รับการปรับเพิ่มประมาณการขึ้นอย่างโดดเด่นกว่าหุ้นกลุ่มอื่นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เพราะเทรนด์เทคโนโลยีใหม่อย่าง AI มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงราคาหุ้นยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อีกเมื่อเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถือว่าเป็นกลุ่มหุ้นเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุน” กองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย เพราะมองว่าดัชนีที่ปรับลดลงทำให้มีโอกาสการสร้างกำไรที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผลประกอบการอุตสาหกรรมกลุ่มค้าปลีก กลุ่มการแพทย์ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงกลุ่มขนส่งได้รับอานิสงส์เชิงบวก ประเด็นสุดท้ายคือราคาหุ้นไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยอัตราส่วนระหว่างราคาหลักทรัพย์ต่อกำไรสุทธิคาดการณ์ต่อหุ้นใน 12 เดือนข้างหน้า (12 m Forward P/E Ratio) ลงมาอยู่ระดับ – 1 S.D. ที่ 15.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 7 ปีที่ 15.9 เท่า