27 มีนาคม 2566 : ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2565 ซึ่งเเม้จะสามารถขยายงานด้านเบี้ยประกันภัยรับรวมได้เกินเป้าหมาย โดยเติบโตจากปี 2564 ร้อยละ 8.8 หรือคิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวม 26,676.3 ล้านบาท และมีรายได้สุทธิจากการลงทุน 6,254.6 ล้านบาท เเต่เนื่องด้วยภาระผูกพันในการจ่ายเคลมสินไหมทดเเทนประกันภัยโควิด-19 สูงถึง 8,700 ล้านบาท ที่สิ้นสุดลงในช่วง ไตรมาสที่ 2 ส่งผลทำให้บริษัทฯ ยังมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 638.4 ล้านบาท
แต่ถึงกระนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ก็ยังมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 5.00 บาท รวมทั้งปี 15.50 บาท บนพื้นฐานของการมีความมั่นคงทางการเงินเเละมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยมีอัตราส่วนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 179.4 (ณ 30 ก.ย. 65) พร้อมยืนหยัดความแข็งแกร่งด้วยการรักษาอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินในระดับสูงหรือ Credit Rating A- (Stable) (ณ พ.ย. 65) โดย Standard &Poor (S&P) สถาบันการจัดอันดับทางการเงินชั้นนำของโลกสำหรับเเนวโน้มของธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2566
ดังนั้น ปี 2566 บริษัทฯ จึงตั้งธงของการดำเนินงานเป็น Year of Resilience towards Sustainable Growth ปีแห่งการพลิกฟื้นธุรกิจ สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมกับตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่เบี้ยประกันรับรวมอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท เติบโตที่ร้อยละ 12.5 แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ประมาณ 13,096 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่ประกันภัยรถยนต์หรือ Non-Motor ประมาณ 16,904 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่างและความมุ่งมั่นเพื่อยกระดับการบริการให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ “ให้มากกว่า” เเละความคุ้มครอง“พิเศษมากขึ้น”
"ผลกำไรของบริษัทฯ จะมาจาก 2 ด้านเสมอ ได้แก่กำไรจากการรรับประกันภัยและกำไรจากด้านการลงทุน ส่วนใหญ่หากสถานการณ์ปกติ กำไรจะมาจากการรับประกันภัยประมาณร้อยละ 60 และกำไรจากการลงทุนร้อยละ 40 แต่ปีก่อนหน้านั้นที่มีสถานการณ์จ่ายสินไหมทดแทนจำนวนมาก กำไรจากการลงทุนจะเหนือกำไรจากการรับประกันภัย ซึ่งจากเป้าหมายเบี้ยประกันรับรวม 30,000 ล้านบาท บริษัทฯตั้งเป้าจะมีกำไรจากการรับประกนภัยไม่น้อยกว่าร้อยละ 8 หรือ 2,400 ล้านบาท และกำไรจากการรับประกันภัยน่าจะขยับขึ้นไปถึงร้อยละ 12 แต่ต้องคำนึงถึงความเปราะบางของภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ หรือความเสียหายของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่" ดร.อภิสิทธิ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน ทางด้าน นายชัย โสภณพนิช ประธานกรรมการ บมจ.กรุงเทพประกันภัย กล่าวว่า ปี 2563 บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักภาษี 3,200 ล้านบาท แบ่งเป็นกำไรจากการรับประกันภัย 1,400 ล้านบาท และ 1,800 เป็นกำไรจากการลงทุน ปี 2564 มีกำไรก่อนหักภาษีลดลงมาเหลือ 1,100 ล้านบาท ปี 2565 ขาดทุน 745 ล้านบาท มีกำไรจากการลงทุน 6,254.6 ล้านบาท มาจากดอกเบี้ยเงินปันผล 5,000 ล้านบาท และที่เหลือมาจากการขายหุ้น โดยขาดทุนจากการรับประกันภัย 7,000 ล้านบาท ฉะนั้นปี 2566 ควรจะมีกำไรก่อนหักภาษี 3,500 ล้านบาท
สำหรับตลาดประกันภัยอาเซียน บริษัทฯ ลงทุนที่ประเทศเขมรมีเบี้ยประกันภัยรับ 11 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กำไรสุทธิกว่า 1 ล้านเหรียญฯ ขนาดของอุตสาหกรรมโดยรวม 140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเบี้ยรับรวม 4,000 ล้านบาท ความคาดหมายในการเติบโตปีนี้ประมาณ 5-8% ส่วนบริษัทประกันภัยประเทศลาว มีเบี้ยรับประมาณ 17-18 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นมาร์เก็ตแชร์ 20% เป็นอันดับ 2 รองจากบริษัท AGL เบี้ยโดยรวมของท้ั้งธุรกิจคิดเป็น 90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 3,000 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะมีเบี้ยประกันภัยรับเติบโตก้าวกระโดดจากการลงทุนของการสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ ที่มีโอกาสเข้าไปรับงานประกันภัยในกลุ่มของ ช.การช่าง
นอกจากนี้ กรุงเทพประกันภัยยังถือหุ้นอยู่ที่ประเทศอินโดนีเชีย เป็นบริษัทใหญ่อันดับ 3-4 ซึ่งยังขยายตัวได้ดี อีกทั้งยังเข้าไปถือหุ้นในบริษัทประเทศฟิลลิปปินส์ อันที่จริงแล้วตลาดที่ใหญ่คือ เวียดนามและพม่า แต่บริษัทฯ ยังเข้าไปดำเนินการไม่ได้เนื่องจากยังไม่เปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุน ส่วนทางเวียดนามก็ไม่ยอมออกใบอนุญาตให้ วิธีการต้องเข้าไปซื้อบริษัทแต่คิดว่าราคายังสูงเกินไป
ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินงาน เริ่มจากการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ 2+ Super Special ที่เป็นประโยชน์และให้ความคุ้มครองที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากควาคุ้มครองน้ำท่วมแผ่นดินไหว ลูกเห็บ และลมพายุ รวมถึงคุ้มครองทั้งตัวรถ ผู้ขับขี่ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอกแล้ว ล่าสุด พิเศษด้วยการบวกเพิ่มความคุ้มครองความเสียหายจากการพลิกคว่ำหรือตกข้างทางและพิเศษยิ่งขึ้นกับความคุ้มครองความเสียหายต่อกระจกบังลมรถยนต์ อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการชน เช่น หินกระเด็นใส่ กิ่งไม้หล่นใส่หรือกระทบกับวัตถุต่างๆ เป็นต้น โดยเบี้ยประกันภัยเริ่มต้น 7,300 บาท
กระเเสความนิยมในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงสุดในช่วงนี้ ซึ่งบริษัทฯ รับประกันรถยนต์ EV (งานใหม่รวมต่ออายุ) ราว 2,000 คัน ได้แก่ MG, Tesla และ PORSCHE คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรวมมากกว่า 100 ล้านบาท (ณ มี.ค. 66) และคาดว่าทั้งปี 2566 จะมีเบี้ยประกันภัยรวมไม่ต่ำกว่า 120-140 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีแผนจะพัฒนาความคุ้มครองใหม่ๆ พร้อมเพิ่มจำนวนรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าที่รับประกันภัยอย่างต่อเนื่อง และยังเตรียมความพร้อมด้านบริการต่างๆ ทั้งด้านสินไหมทดแทนยานยนต์ การสนับสนุนข้อมูลทางเทคนิคเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าแก่ฝ่ายรับประกันภัย รวมถึงจัดอบรมให้ความรู้แก่อู่ในสัญญาเพื่อเสริมศักยภาพในการซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างเชี่ยวชาญเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า
"จากยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ปี 2565 ที่มีจำนวนกว่า 9,729 คัน เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 402.8 จากปี 2564 และคาดว่าปีนี้รถ EV ทั้งระบบจะจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นอีก 40,000 คัน โดยเฉพาะเดือนมกราคม 66 ก็เพิ่มขึ้นแล้ว 8,600 คัน ซึ่งนอกเหนือจากปัจจัยการตื่นตัวด้านปัญหาสิ่งเเวดล้อมแล้ว ราคาน้ำมันที่ยังสูงก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ดึงดูดให้ผู้บริโภคหันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น" ดร.อภิสิทธิ์ ขยายความเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ยังมีแผนประกันภัยที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ในรูปแบบ Personalized Insurance ที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น จากข้อมูลของศูนย์โรคซึมเศร้าไทย กรมสุขภาพจิต ปี 2564 ระบุว่าคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าถึง 1.5 ล้านคน โดยผู้ป่วยจำนวน 100 คน สามารถเข้าถึงการรักษาเพียง 28 คนเท่านั้น
ล่าสุดเตรียมเสนอเเผนประกันภัยสุขภาพ + จิตเวช ที่มุ่งให้ความสำคัญกับเรื่องจิตใจของคนในสังคมผ่านการเพิ่มความคุ้มครองด้านจิตเวชเข้ามาในเเผนประกันภัยสุขภาพเดิม โดยให้ความคุ้มครองครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลหรือค่าตรวจรักษาอาการของโรคที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะทางจิตใจ หรือพฤติกรรมหรือความผิดปกติทางบุคลิกภาพ ทั้งกรณีที่เป็นผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) โดยคาดว่าจะสามารถนำเสนอขายได้ในช่วงกลางปีนี้ ขณะนี้มีเบี้ยประกันสุขภาพประมาณ 1,000 ล้านบาท ปีนี้ 2566 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 20% หรือ 1,200 ล้านบาท
ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ บริษัทฯ ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ แผนประกันภัยนักดำน้ำ ที่จะสร้างความอุ่นใจให้กับกลุ่มนักดำน้ำ ทั้งผู้ที่เป็นมืออาชีพและมือสมัครเล่นในไทย เพื่อรองรับความเสี่ยงต่างๆ ของนักดำน้ำ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาลการเคลื่อนย้ายเพื่อรักษาพยาบาลฉุกเฉิน เงินชดเชยต่างๆ เช่น อุปกรณ์ ดำน้ำเสียหาย การยกเลิกโปรเเกรมท่องเที่ยวดำน้ำ โดยมีให้เลือกทั้งเเบบรายทริป (ตามจำนวนวันที่เดินทาง) เเละรายปี (สูงสุด 30 วันต่อการเดินทางในเเต่ละครั้ง)
อย่างไรก็ดี การบริการถือเป็นหัวใจที่สำคัญ บริษัทฯ ได้เพิ่มศักยภาพการบริการ “รวดเร็วเเละประทับใจมากยิ่งขึ้น” โดยจัดตั้ง "อู่ชวนซ่อม" เพื่อยกระดับอู่ซ่อมในสัญญาที่มีมากกว่า 580 แห่งให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีการพัฒนาอู่ซ่อมในสัญญา ที่ให้ลูกค้าประเมินความพึงพอใจ หลังการซ่อมจากลูกค้าตามเกณฑ์การประเมินต่างๆ ใน 5 เรื่องสำคัญ ได้แก่
คุณภาพการซ่อม, การให้บริการที่ดี, การส่งมอบรถตรงเวลา, ความสะอาดหลังซ่อม และการจัดเตรียมสถานที่ห้องรับรองที่สะอาดและสะดวกสบาย ซึ่งอู่ชวนซ่อมได้มอบบริการพิเศษ เช่น มีบริการนัดหมาย, ทำความสะอาดภายนอกและภายใน รวมถึงบริการขัดสีให้หลังซ่อมเสร็จ เป็นต้น อีกทั้งยังปรับลดระยะเวลาการจ่ายค่าซ่อมอู่ในสัญญาภายใน 3 วันทำการ ส่งผลให้ลูกค้าได้รับความสะดวกรวดเร็วในการนำรถเข้าซ่อม
นอกจากนีั ยังอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าประกันภัยรถยนต์ ไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) เพื่อเเบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย พร้อมอำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ลูกค้าและคู่กรณีที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถยนต์ และเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) โดยไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษา ซึ่งบริษัทฯ จะเริ่มนำร่องกับโรงพยาบาล 50 คู่สัญญาหรือกว่า 150 แห่งที่มีการทำจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นประจำ จากนั้นจะขยายไปถึงกลุ่มโรงพยาบาลคู่สัญญาอื่นๆ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป
รวมไปถึงบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ พัฒนาปรับปรุงระบบ Web Partner สำหรับตัวแทน เพื่อขยายช่องทางการประกันภัยไปสู่กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายยิ่งขึ้น พร้อมขยายธุรกิจกับคู่ค้ารายใหม่ด้วยการเชื่อมต่อเทคโนโลยี API ผ่านระบบ BKI Digital Platform ให้มากยิ่งขึ้น
อีกทั้งบริษัทฯ มีแผนดำเนินงานเพื่อยกระดับคุณภาพงานด้านสินไหมรถยนต์ โดยใช้เทคโนโลยี Cloud Contact Center เข้ามาช่วย ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ สามารถให้บริการลูกค้าได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านระบบออนไลน์ เพื่อรองรับการขยายตัวของปริมาณงานในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ส่วนบริการ Self Service Notification สำหรับการเคลมประกันภัยรถยนต์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่นิยมทำธุรกรรมต่างๆให้ครบจบทีเดียวบนโลกออนไลน์ ประกอบกับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น บริษัทฯ จึงพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทำงานสินไหมทดแทนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อนำเสนอเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าให้สามารถเลือกได้ทั้งการเเจ้งอุบัติเหตุเหตุฉุกฉินเเละเเจ้งเคลมประกันภัย แบบ Self Service ด้วยตนเองหรือเลือกติดต่อแจ้งอุบัติเหตุกับเจ้าหน้าที่ Call Center โดยตรงได้ทันที ตามความสะดวกใจของลูกค้า
สำหรับระบบ Self Service ดังกล่าวจะช่วยให้ลูกค้าของกรุงเทพประกันภัยที่เกิดเหตุฉุกเฉินและต้องการแจ้งอุบัติเหตุรถยนต์ เพียงกดสายด่วนกรุงเทพประกันภัย 1620 และเลือกช่องทางแจ้งเคลมอุบัติเหตุด้วยตนเอง จากนั้นระบบจะส่ง SMS เพื่อให้ลูกค้ากรอกข้อมูลเบื้องต้น เช่น เลขที่กรมธรรม์ ทะเบียนรถยนต์ เป็นต้น
โดยจะมีการประมวลผลและส่งพิกัดจุดเกิดเหตุ เข้าระบบ e-Surveyor เพื่อออกเลขเคลมโดยอัตโนมัติ และจ่ายงานให้เจ้าหน้าที่สำรวจภัยออกไปบริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ทันใจ พร้อมพัฒนาระบบ Location Tracking ให้ลูกค้ามองเห็นความเคลื่อนไหวของทีมเจ้าหน้าที่สำรวจภัยได้เเบบ Real-Time ซึ่งลูกค้าไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติมใดๆ
ดร.อภิสิทธิ์กล่าวต่อไปว่า กรุงเทพประกันภัย ทุ่มงบประมาณกว่า 700 ล้านบาท เพื่อมุ่งนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการประกันภัยที่ทันสมัยและมีคุณภาพ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมทุกสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัลอย่างไร้ขีดจำกัด ต่อยอด Data-Driven Organization ที่ใช้ฐานข้อมูลในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า โดยเน้นให้ผู้บริหารและพนักงานนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจทั้งในงานด้านการรับประกันภัย สินไหมทดแทนและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่รองรับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มเป้าหมายเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง เช่น
การออกผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละคนด้วยการคาดการณ์ความต้องการลูกค้า และนำเสนอสิ่งที่ใกล้เคียงกับความต้องการลูกค้ามากที่สุดซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ กำลังสร้างฐานข้อมูลใหม่แบบองค์รวมบน High-End Technology เพื่อให้มีข้อมูลสำหรับใช้ในการวิเคราะห์อย่างละเอียดครบถ้วนทุกมิติโดยได้นำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนหลายด้าน เช่น Self Service BI Visualization (Information on Demand) และยังมี Customer Data Platform (CDP) ที่เชื่อมต่อกับระบบเว็บไซต์ เพื่อนำข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์รวบรวมข้อมูลภายในองค์กรส่งต่อไปสู่การคิดแคมเปญส่งเสริมการขายแบบ Personalized Marketing
สร้างความเชื่อมั่นด้วยระบบ Cyber Security ที่เเข็งแกร่ง จากภัยคุกคามและการโจมตีต่างๆ ทางไซเบอร์ที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้การเฝ้าระวังเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีมาตรฐาน เพื่อเพิ่มระดับการป้องกันความปลอดภัยผ่านการติดตั้ง Endpoint Detection and Response (EDR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการตรวจสอบและตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัย ที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบ Real-Timeพร้อมเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีอื่นๆ อย่าง Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้จัดจ้างศูนย์เฝ้าระวังความมั่นคงปลอดภัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศSecurity Operation Center (SOC) ซึ่งหากมีเหตุการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัย (Security Incident) เกิดขึ้น เช่น เหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหล ระบบถูกบุกรุก หรืออื่นๆ ทางทีมผู้เชี่ยวชาญของ SOC จะมีการแจ้งเตือนพร้อมให้คำแนะนำในการแก้ไขเพื่อลดความเสี่ยงผลกระทบและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ป้องกันการโจรกรรมข้อมูลการรั่วไหลของข้อมูล การนำข้อมูลไปใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล