16 มีนาคม 2566 : ในขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจของคนในสังคมอย่างมากผลการวิจัยล่าสุดจาก AXA Study of Mind Health and Wellbeingประจำปี 2566 ได้เปิดเผยว่ากลุ่มคน Gen Z (อายุ 18-24 ปี)ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก และมากกว่าครึ่งหนึ่งของคนกลุ่ม GenZ ทั่วโลก (53%) และในเอเชีย (51%) มีสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ ผลการวิจัยดังกล่าวระบุถึง ความท้าทายที่กลุ่มคน Gen Z ต้องเผชิญในที่ทำงาน
ขณะเดียวกันก็เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่นายจ้างจะต้องปรับการสนับสนุนคนในองค์กรให้เหมาะกับความต้องการเพื่อรับมือกับการลาออกที่เพิ่มขึ้นของบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีความสามารถการวิจัยพบว่ากลุ่มคน Gen Zมีสัดส่วนสูงสุดที่เผชิญกับความเครียดทางอารมณ์และความบกพร่องทางจิตใจ โดยทั่วโลกมีสัดส่วนถึง 18% และ 14% ในเอเชียซึ่งมากกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ ในขณะที่ทั่วโลกกลุ่มคนอายุระหว่าง 18-24ปี มีเพียง 13% เท่านั้นที่มีสุขภาพจิตใจแข็งแรงและในเอเชียมีสัดส่วน 15% ซึ่งต่ำที่สุดในทุกกลุ่มอายุทำให้กลุ่มคนอายุ 18-24ปีเป็นกลุ่มเดียวที่มีภาวะด้านความเครียดทางอารมณ์สูงกว่าทุกกลุ่ม
กลุ่ม Gen Z แสดงความสามารถในการทำงานภายใต้ความเครียดได้ดีกว่าแม้ว่าส่วนใหญ่คิดจะลาออกในที่ทำงานในภูมิภาคเอเชีย ผลสำรวจเผยให้เห็นว่า กลุ่มคนGen Zเป็นกลุ่มคนที่มีพรสวรรค์แต่ได้รับผลกระทบจากความท้าทายที่สำคัญหลายประการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจของพวกเขาสิ่งเหล่านี้รวมถึงความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคต (69% เทียบกับ 59%ทั่วโลก)
การดิ้นรนเพื่อแยกชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (49%เทียบกับ 39% ทั่วโลก) ภาวะการยอมรับการเปลี่ยนแปลงในที่ทำงาน (47% เทียบกับ 38% ทั่วโลก) และขาดทักษะที่เหมาะสมกับงาน (14%เทียบกับ 9% ทั่วโลก) โดยปัจจัยสุดท้ายนี้ มีความสัมพันธ์อย่างมากกับสุขภาพจิตที่ดี
โดยผลจากการวิจัยผู้ที่มีทักษะการทำงานที่เหมาะสมนั้นจะมีแนวโน้มที่จะทำงานได้ดีที่สุดถึง 2.5 เท่าผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่ากลุ่มอายุ 18-24 ปีในเอเชียมีสัดส่วนสูงสุดในความคิดที่ตั้งใจจะลาออกในอีก 12 เดือนข้างหน้า (21%) ผลสำรวจพบข้อบ่งชี้ชัดเจนว่ากลุ่มอายุ 18-24 ปีที่กำลังมีสุภาพจิตที่ดีมีแนวโน้มลาออกน้อยกว่า โดยมีเพียง 16% เท่านั้น ซึ่งสอดคล้องถึงความสำคัญของการมีสุขภาพจิตที่ดีกับการรักษาพนักงานให้ทำงานในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนด้านสุขภาพจิตในที่ทำงานมีบทบาทสำคัญในสุขภาพจิตองค์รวมการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตในที่ทำงานได้กลายเป็นเรื่องสำคัญในช่วงที่เกิดโรคระบาด
การวิจัยยังเผยให้เห็นว่า ในเอเชียบริษัทที่ให้การสนับสนุนด้านสุขภาพจิตมีแนวโน้มที่จะมีพนักงานทีมีความสุขสูงกว่า 2.5 เท่า ในขณะที่ 1 ใน 4 ของพนักงาน Gen Z ที่รู้สึกว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตที่ดีในที่ทำงานมีความสุข ซึ่งอัตรานี้มีเพียง 1 ใน 100 ของกลุ่มคนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนดังกล่าว ซึ่งเป็นความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดในทุกกลุ่มอายุ สิ่งนี้บ่งชี้ว่าการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตในที่ทำงานมีผลกระทบมากที่สุดต่อสุขภาพจิตของ Gen Z ทำให้กลุ่มนี้เป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับการแก้ปัญหาดังกล่าว
กอร์ดอน วัตสัน ประธานกรรมการบริหารแอกซ่าเอเชียและแอฟริกา กล่าวว่า ในขณะที่สุขภาพจิตใจได้รับความสนใจมากขึ้น หลังจากเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดที่ส่งผลกับชีวิตของเราทุกคนผลวิจัยนี้เน้นย้ำว่าคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถทั่วเอเชียกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก บริษัทจำเป็นต้องพิจารณาว่า พวกเขาสามารถสร้างความแตกต่างที่เป็นรูปธรรมด้วยการสนับสนุนที่เกี่ยวข้องกับความต้องการของพนักงาน Gen Z ได้อย่างไรไม่เพียงแต่ช่วยในด้านประสิทธิภาพ และการรักษาลูกค้าเท่านั้นแต่ยังต้องจัดการกับปัญหาเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อสังคมทั่วทั้งภูมิภาคอีกด้วย
บุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคล และภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กรกล่าวว่า “ปีนี้เป็นปีแรกที่กลุ่มแอกซ่า มีการศึกษาเรื่องสุขภาพจิตที่ครอบคลุมข้อมูลในประเทศไทยไว้ด้วยโดยผลการวิจัยจากหลายประเทศในครั้งนี้พบว่าประเทศไทยมีจำนวนประชากรที่มีสุขภาพจิตดีสูงที่สุด นอกจากนี้ 66% ของกลุ่มคน Gen Z ในประเทศไทยรู้สึกว่าตนเองมีทักษะการทำงานที่เหมาะสมซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยจากทั่วโลก ทั้งนี้ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิตเรายังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างองค์กรให้เป็นสถานที่ทำงานที่ดีที่สุด
รวมถึงส่งเสริมให้พนักงานมีความสุขในการทำงานและเติบโตไปพร้อมกับองค์กรอีกทั้งยังให้ความสำคัญด้านการยอมรับความหลากหลายของพนักงาน ช่องว่างระหว่างวัย ของกลุ่ม Gen Z และกลุ่มอื่นๆซึ่งสอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของ Employer Brand Promise คือการเสริมพลังศักยภาพของพนักงานที่มุ่งสู่ความสำเร็จ ผู้คนในเอเชียโดยรวมมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น เชื่อว่าเพราะอคติที่มีต่อเรื่องสุขภาพจิตมีน้อยลง
ผลการวิจัยพบว่า สัดส่วนของประชากรที่มีสุขภาพจิตที่ดีในเอเชียเพิ่มขึ้นจาก 19% เป็น 22% โดยเอเชียมีสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกในทางตรงกันข้ามสัดส่วนของผู้ที่ประสบปัญหาทางสุขภาพจิตที่ต้องดิ้นรนในเอเชียลดลง 2% เหลือ 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งแสดงให้เห็นถึงสภาวะทางจิตใจที่ดีขึ้นในภาพรวม
นอกจากนี้ 36% ของผู้ตอบแบบสำรวจทั่วโลกยอมรับว่าตนไม่รู้สึกผิดหากมีปัญหาด้านสภาวะทางจิตใจเมื่อเทียบกับสัดส่วนปีก่อนที่ 31% ผลการวิจัยพบว่า 25% ของผู้คนทั่วโลกมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นโดยประเทศไทย (36%) ซึ่งเป็นประเทศที่เข้าร่วมการศึกษาครั้งแรกผลการวิจัยอยู่ในอันดับที่ดี ในขณะที่ประเทศอิตาลี (18%) อยู่ในระดับต่ำสุด และเมื่อพิจารณาประเทศและภูมิภาคในเอเชียอย่างใกล้ชิด ผลสำรวจพบว่า คนในฟิลิปปินส์สามารถข้ามผ่านภาวะนี้ได้สูงสุดอยู่ที่ 39% ตามมาด้วยฮ่องกงที่ 37% ทั้งนี้ ผู้คนในญี่ปุ่นยังคงเผชิญกับความเหน็ดเหนื่อยและต้องดิ้นรนสูงถึง 31% และ 14% ตามลำดับ
สแกน QR Code เพื่อรับชมวิดีโอ AXA Mind Health