27 มกราคม 2566 : นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า การดำเนินงานของธุรกิจประกันวินาศภัยโดยรวมปี 2565 ที่ผ่านมา มีอัตราเติบโตประมาณ 3.5% หรือคาดว่าจะมีเบี้ยประกันรับของทั้งธุรกิจประมาณ 272,000 ล้านบาท ดังนั้น คาดว่าธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2566 อาจจะมีอัตราการเติบโตที่ 4.5% หรือ 274,000 ล้านบาทเนื่องจากนักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามา รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ชะลอตัวไม่เติบโตเท่าปีที่ผ่านมา

แต่ขณะที่ยอดการส่งออกอาจจะชะลอตัวเหลือเพียง 2-3% โดยยอดการส่งออกปีที่ผ่านมาโตสูง 7-8% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกไม่ค่อยดีเท่าที่ควร รวมไปถึงสถานการณ์ของเงินเฟ้อสูง ซึ่งเมื่อยอดการส่งออกต่ำลงก็มีผลต่อภาวะเศรษฐกิจการการประกันภัยเช่นเดียวกัน แต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจาก 10 ล้านคนมาสู่ระดับกว่า 25 ล้านคนจะเป็นตัวกระตุ้นขับเคลื่อนให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมขยับตัวสูงขึ้น

นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกที่เข้ามามีผลกระทบ ได้แก่ เรื่องการเมืองภายในประเทศที่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่อย่างไร และภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน เศรษกิจโลก เงินเฟ้อ แต่อย่างไรก็ดี ในส่วนของการประกันรถยนต์คาดว่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา เพราะบริษัทบางแห่งที่เน้นนโยบายการแข่งขันด้านราคาปิดตัวไปหลายบริษัท เช่น อาคเนย์ เดอะวันประกันภัย ดังนั้น ปีนี้บริษัทขนาดใหญ่ก็จะได้รับอานิสงค์ ที่รับเบี้ยประกันจากบริษัทที่ถูกปิด ซึ่งการแข่งขันด้านราคาก็จะไม่หนักเหมือนเดิม 

สำหรับการประกันรถยนต์ไฟฟ้ายังมีจำนวนน้อย หากขายได้เพิ่มมากขึ้นถึง 2 เท่าตัวของรถยนต์ที่มีทั้งระบบ 150, 000 ล้านบาท ก็ยังนับว่าฐานเบี้ยประกันภัยยังต่ำ ยกตัวอย่าง ปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้า 20,000 คัน (รถทุกประเภท) ดังนั้น หากคาดว่าปี 2566 อาจจะขายได้ถึง 40,000-50,000 คัน แต่ถ้าเทียบกับสัดส่วนรถยนต์ทั้งประเทศก็ยังน้อยมากไม่ถึง 1% ของรถยนต์ทั้งระบบที่ทำประกันภัยภาคสมัครใจ 13 ล้านคัน 

นอกจากนี้ จะมีการปรับเปลี่ยนโดยอาจจะออกกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Policy) เข้ามาใช้ท้้งกรมธรรม์พ.ร.บ.และกรมธรรม์ภาคสมัครใจ ซึ่งคปภ.ก็ได้ร่วมมือกับกรมขนส่งทางบก โดยออนไลน์ร่วมกันในการต่อประกันและต่อภาษี สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้เอาประกันและบริษัทประกันภัยมากยิ่งขึ้น 

ส่วนทางด้านการประกันสุขภาพก็จะมีราคาสูงมากขึ้น เนื่องจากเงื่อนไขความคุ้มครองใหม่ เมื่อรับประกันแล้วเลิกรับประกันไม่ได้ และอานิสงค์ของการประกันโควิด-19 ทำให้ประชาชนตื่นตัวในการใส่ใจที่จะทำประกันสุขภาพของตนเองมากขึ้น ดังนั้น เทรนของการประกันสุขภาพก็จะได้รับความนิยม แต่ในรูปแบบของความคุ้มครองเฉพาะเจาะจงโรคมากขึ้น เช่นเบี้ยประกันเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้สูง ก็จะซื้อให้ครอบคลุมกับค่ารักษาพยาบาล ส่วนผู้มีรายได้น้อยก็จะหันมาเน้นกรมธรรม์เฉพาะกลุ่มโรคมากขึ้น เป็นแพ็คเกจเพื่อให้เบี้ยราคาถูกลง ทุนประกันต่ำลง การเคลมง่ายขึ้น