กรุงเทพฯ, 6 มกราคม 2566 : นางสาวนิลวรรณ จีระบุญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกรรมการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารร่วมกับ Stripe ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินระดับโลกสำหรับธุรกิจต่างๆ เปิดตัวการให้บริการโซลูชันการชำระเงินอย่างเป็นทางการในประเทศไทยผ่านเครือข่ายกรุงศรี เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ประกอบการทุกระดับในการทำธุรกรรมออนไลน์ที่ได้มาตรฐาน สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย พร้อมช่วยเสริมศักยภาพทางการแข่งขันให้ธุรกิจไทยสามารถขยายสู่ตลาดโลก
“ที่กรุงศรี เราให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องกับการพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ซึ่งความร่วมมือในการเป็นเครือข่ายให้บริการแก่ Stripe ในประเทศไทย ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของกรุงศรีเพื่อสนับสนุนให้การทำธุรกรรมดิจิทัลของไทยเป็นแบบครบวงจร สอดรับกับเป้าหมายของกรุงศรีที่พร้อมเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญต่อการพัฒนาและวางรากฐานให้กับโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล อีกทั้งด้านการขยายเครือข่ายเพื่อต่อยอดทางธุรกิจทั้งในประเทศและระดับโลก และที่สำคัญคือการได้เพิ่มมูลค่าและประโยชน์ในผลิตภัณฑ์และบริการที่เราส่งต่อให้กับลูกค้าของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
นายธีย์ ฉายากุล ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย Stripe กล่าวว่าเราเลือกร่วมมือกับกรุงศรี ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศไทย ด้วยศักยภาพที่ตอบโจทย์ตามที่เราต้องการทั้งในด้านความปลอดภัย ความสะดวก และรวดเร็วในการทำธุรกรรมออนไลน์สำหรับผู้ประกอบธุรกิจในประเทศไทย”
ปัจจุบัน ธุรกิจในประเทศไทยสามารถสมัครใช้บริการของ Stripe เพื่อการชำระเงินออนไลน์ การเบิกจ่าย การป้องกันการทุจริต และช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายบริการเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลก โดยได้รับการสนับสนุนความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับทางกรุงศรีฯ ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ เกิดขึ้นในขณะที่ธุรกิจในประเทศไทยกำลังเร่งปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล และมองหาการสนับสนุนจากภายนอกมากขึ้น เพื่อการเริ่มต้นอย่างรวดเร็วและสามารถขยายธุรกิจไปได้ทั่วโลก
“ด้วยวิสัยทัศน์ทางธุรกิจของทั้งกรุงศรี และ Stripe ที่สอดคล้องกันเพื่อพัฒนาบริการระบบชำระเงินออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพ ขจัดความยุ่งยากในกระบวนการทางเอกสาร ต่อยอดให้ธุรกรรมเป็นไปด้วยระบบอัตโนมัติแบบครบวงจร ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศทางการเงินแห่งอนาคตที่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไปได้ในอนาคตอย่างเข้มแข็งด้วย” นางสาวนิลวรรณ กล่าวสรุป