28 พฤศจิกายน 2559 : อยากจะร้องว๊าวๆๆๆๆยาวเลยทีเดียวหลังรัฐบาลประกาศแจกเงินอย่างเป็นทางการ สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยวงเงิน 30,000 บาทต่อคนต่อปี โดยรัฐบาลเตรียมแจกให้บุคคลดังกล่าวคนละ 3,000 บาทเป็นขวัญถุงเป็นของขวัญปีใหม่
มาตราการแจกเงินครั้งนี้ เป็นเจตนาที่รัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศมาก แม้หลายคนอาจจะมองเรื่องนี้เป็นมาตรการประชานิยมที่พรรคการเมืองต่างๆ มักฉวยจังหวะในการสร้างคะแนนให้ตนเองเสมอ แต่ในยุครัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากมองในเชิงบวก ถือว่ารัฐบาลชุดนี้พยายามทำทุกวิถีทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่หากมองในเชิงลบของหลายคนก็กลายเป็นเรื่องดร่าม่าที่พยายามหาข้อเปรียบเทียบเพื่อจับผิด
ไม่ว่าใครจะมีมุมมองอย่างไรกับมาตราการแจกเงิน รวมไปถึงมาตรการปรับค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่ต่างๆก็ตาม แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ เพราะมาตราการดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ดีอีกเรื่องหนึ่งในช่วงภาวะโศกเศร้าจากการเสด็จสวรรณคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ช่วงเดือนที่ผ่านมา
งานนี้ “ลุงตู่” รัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะผู้ยึดอำนาจการปกครองซึ่งกำลังปกครองประเทศไทย ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ คสช. กลายเป็น “คุณลุงซานตาคอสเมืองไทย” ไปแล้ว นอกจากกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นแล้ว ล่าสุด “ลุงตู่” ของเราชวนออกกำลัง กระตุ้นพลังกายให้แข็งแกร่งด้วยนะเออ…..
คราวนี้มาดูกันว่า ผู้ที่มีสิทธิจะได้รับเงินขวัญถุงจากซานต้าฯลุงตู่รอบนี้ ใครบ้างที่จะได้สิทธิตามมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐครั้งนี้บ้าง
ล่าสุด ทางกระทรวงการคลัง นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ออกมาเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวครอบคลุมผู้มีรายได้น้อยทั้งหมดตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ นอกเหนือจากมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็ นชอบเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 จึงเห็นชอบมาตรการเพิ่มรายได้ ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่ เกษตรกรด้วย โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. คุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ : เป็นผู้ที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐที่เปิดให้ลงทะเบียนเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม – 15 สิงหาคม 2559 นอกเหนือจากเกษตรกรที่ได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรกรรายย่อยที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 ซึ่งลงทะเบียนผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน (ธ.ออมสิน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธ.กรุงไทย) ทั้งนี้ ผู้ลงทะเบียนที่ตรวจสอบจากเว็บไซต์ของกรมสรรพากรแล้วไม่ปรากฏชื่อให้นำเอกสารหลักฐานที่ธนาคารผู้รับลงทะเบียนให้ไว้ไปติดต่อที่สาขาธนาคารที่ตนไปลงทะเบียนภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2559
2. จำนวนผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนผ่านโครงการฯ : ฐานข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบเบื้องต้น จากกรมสรรพากรและกรมการปกครองพบ ว่า ผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐมีจำนวนประมาณ 8.3 ล้านคน แบ่งเป็นผู้มีรายได้น้อยที่เป็นเกษตรกรจำนวน 2.9 ล้านคน และผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่ เกษตรกรจำนวน 5.4 ล้านคน
3. เกณฑ์การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่เกษตรกร : ใช้เส้นความยากจน (Poverty Line)
ที่คำนวณโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิ จและสังคมแห่งชาติเป็นเกณฑ์ ในการอ้างอิงโดยในปี 2557 อยู่ที่ระดับประมาณ 30,000 บาทต่อคนต่อปี โดยกำหนดอัตราเงินช่วยเหลือ ซึ่งมีจำนวนผู้มีสิทธิ์และวงเงินงบประมาณที่ใช้
4. วิธีการโอนเงิน : ให้ ธ.ก.ส. ธ.ออมสิน และ ธ.กรุงไทย ดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีผู้มีรายได้น้อย ที่ไม่ใช่เกษตรกรที่ลงทะเบียนตามโครงการฯ ไว้กับธนาคาร โดยจำแนกเป็น 2 กรณี ดังนี้
4.1 กรณีผู้มีสิทธิ์เป็นลูกค้าของธนาคาร : ให้ธนาคารโอนเข้าบัญชีของผู้มีสิทธิ์โดยตรง โดยให้ ผู้มีสิทธิ์สามารถตรวจสอบเงินในบัญชีของตนภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ธนาคารแจ้งการโอนเงินหากไม่มีเงินโอนเข้าบัญชี ให้ไปยืนยันสิทธิ์กับธนาคารที่ ได้ลงทะเบียนไว้ และหากผู้มีสิทธิ์มีบัญชีเงินฝากมากกว่า 1 บัญชี ธนาคารจะทำการโอนเงินเข้าในบัญชีที่มีการเคลื่อนไหวล่าสุด
4.2 กรณีผู้มีสิทธิ์ไม่ได้เป็นลูกค้าของธนาคาร : ให้ผู้มีสิทธิ์ไปแสดงตัวและเปิดบัญชีเงินฝาก ที่สาขาธนาคารที่ไปลงทะเบียนตามโครงการฯ และสามารถตรวจสอบเงินในบัญชีหลังจากเปิดบัญชีภายใน 7 วัน หากไม่มีเงินโอนเข้าบัญชีให้ไปยืนยันสิทธิ์กับธนาคารที่ได้ลงทะเบียนไว้
นอกจากนี้ ให้ธนาคารใช้หลักเกณฑ์การโอนเงินเดียวกับข้อ 4.1 และ 4.2 เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการโอนเงินให้เกษตรกรผู้มีสิ ทธิ์ ตามมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ เกษตรกรผู้มีรายได้น้อยด้วย
5. กรอบระยะเวลาดำเนินการ : ให้ ธ.ก.ส. ธ.ออมสิน และ ธ.กรุงไทย โอนเงินเข้าบัญชีผู้มีสิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2559
6. วงเงินงบประมาณ : กรอบวงเงินที่ใช้ในการดำเนิ นมาตรการจำนวน 12,750 ล้านบาท ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ในส่วนของงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นหรือรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ตามที่สำนักงบประมาณเห็นสมควร โดยให้ ธ.ก.ส. ธ.ออมสิน และ ธ.กรุงไทย สำรองจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปก่อน และชดเชยต้นทุนเงินให้กับธนาคารดังกล่าวในอัตราดอกเบี้ ยเงินฝากประจำ 6 เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ 4 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ 1 (ปัจจุบันอัตรา FDR เท่ากับร้อยละ 1.225 ต่อปี)
อย่างไรก็ดี นับว่ากระบวนการกระตุ้นของภาครัฐครั้งนี้ ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับขวัญถุงจาก “ซานต้าตู่” ก็คงจะมีเงินเพียงพอให้กระเป๋าชุ่มชื่นช่วงปลายปีได้บ้างไม่มากก็น้อย!!!