6 ธันวาคม 2565 : ช่วงนี้ข้าวของต่างๆ พากันขึ้นราคาแบบไม่ลืมหูลืมตา รับกับภาวะเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ตามการประเมินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มองอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ที่ระดับ 6.3% ในปีนี้ และปี 2566 มองเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 3.0% ขณะที่ 2567 มั่นใจว่าจะทยอยลดลงอยู่ที่ระดับ 2.1% ได้ โดยธปท.ได้ยืนยันว่าเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ได้ผ่านจุดสูงสุดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565ไปแล้ว ดังนั้น เรามารอลุ้นกันว่าในปีหน้าเงินเฟ้อจะปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.0% ตามที่ธปท.ประเมินไว้หรือไม่
ขณะที่ขนส่งมวลชนส่งซิกถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ล่าสุดบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ประกาศขอปรับขึ้นค่าโดยสารรอบใหม่ โดย "สุรพงษ์ เลาหะอัญญา" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS แจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 บริษัทจะปรับขึ้นราคาค่าโดยสารที่เรียกเก็บสำหรับรถไฟฟ้าบีทีเอสในเส้นทางสัมปทานระยะทาง 23.5 กิโลเมตร 24 สถานี ได้แก่
สายสุขุมวิท สถานีหมอชิต-สถานีอ่อนนุช และสายสีลม สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ-สถานีสะพานตากสิน รวมถึงส่วนต่อขยายสายสีลม สถานีกรุงธนบุรี และสถานีวงเวียนใหญ่ จากราคา 16-44 บาท ปรับเป็น 17-47 บาท ซึ่งอัตราค่าโดยสารใหม่นั้น ยังต่ำกว่าเพดานอัตราค่าโดยสารสูงสุดตามสัญญาสัมปทานซึ่งอยู่ในอัตรา 21.52-64.53 บาท
ฟังแบบนี้แล้วก็ได้แต่ยอมรับและเข้าใจไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คงต้องมาลุ้นกันว่า ขนส่งมวลชนอื่นจะตรึงราคาค่าโดยสารได้นานแค่ไหน แม้ว่ารัฐได้พยายามตรึงราคาพลังงานถึงที่สุดอย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม แต่ด้วยปัจจัยลบจากนอกประเทศที่คาดการณ์ลำบาก คงต้องลุ้นกันต่อไปสำหรับภาวะเงินเฟ้อปีหน้า
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทย "ปิติ ดิษยทัต" เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่า ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนจะยังเป็นแรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจในระยะต่อไป และช่วยลดทอนผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2566 มีแนวโน้มสูงกว่าประมาณการครั้งก่อนจากราคาพลังงานในประเทศเป็นสำคัญ แต่จะยังคงโน้มลดลงและกลับสู่กรอบเป้าหมายในปี 2566 ส่งผลให้คณะกรรมการฯ เห็นว่าการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มเงินเฟ้อ จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%ต่อปี ในการประชุมครั้งลาาสุด เมื่อวันที่ 30พ.ย.2565 ที่ผ่านมา
สำหรับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.2% ในปีนี้ ส่วนปี 2566 คาดว่าจะเติบโตที่ 3.7% และจะโดดเด่นมากขึ้นในปี 2567 ที่มองว่าเศรษฐกิจไปมีโอกาสเติบโตที่ระดับ 3.9% โดยภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวชัดเจนสะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนได้รับแรงสนับสนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจรวมถึงการจ้างงานและรายได้แรงงานที่ปรับดีขึ้นและกระจายตัวทั่วถึงมากขึ้น
โดยภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน จะเป็นแรงส่งสำคัญต่อเนื่องในปี 2566 และ 2567 แม้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะทำให้ภาคการส่งออกขยายตัวลดลง ส่งผลให้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวมยังใกล้เคียงเดิม อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงและอาจชะลอตัวมากกว่าคาด และความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว สุดท้ายก็ได้แต่เอาใจช่วยทั้งภาครัฐและภาคประชาชน ให้สามารถเดินหน้าได้ตามที่คาดหวังไว้