28 พฤศจิกายน 2565 : อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์” ซึ่งมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรตั้งแต่อายุ 65 ปี มากกว่า 14% ในปี 2566 และในอีก 10 ปีข้างหน้าจะกลายเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” คือมีประชากรตั้งแต่อายุ 65 ปี มากกว่า 20% ทำให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนเร่งเตรียมความพร้อมในการพึ่งพาตนเองให้แก่ผู้สูงอายุและวัยทำงานที่จะกลายเป็นผู้สูงอายุในอนาคต รวมถึงความพร้อมทางด้านการเงินของผู้เกษียณอายุ
ในประเด็นดังกล่าว "ศิษฏศรี นาคะศิริ" ผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับธุรกิจออกแบบการลงทุนและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างผลักดันให้มีการออมภาคบังคับสำหรับแรงงานภาคเอกชนในระบบ
ด้วยการจัดตั้ง “กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ” หรือ กบช. เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาของลูกจ้างที่มีเงินเก็บไม่เพียงพอยามเกษียณ เนื่องจาก การออมเพื่อการเกษียณอายุผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ซึ่งเป็นการออมภาคสมัครใจยังไม่สามารถตอบโจทย์กองทุนการออมเพื่อการเกษียณให้แก่ลูกจ้างได้ ปัจจุบันมีสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำนวน 2,843,143 คน คิดเป็น 17.7% ของแรงงานในระบบเท่านั้น
ขณะที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า ปี 2565 จำนวนเงินที่เพียงพอรองรับการใช้จ่ายในวัยเกษียณไปอีก 30 ปีหลังจากอายุ 60 จะต้องมีเงินออมไว้อย่างน้อย 3.1 ล้านบาท หรือมีเงินไว้ใช้จ่ายประมาณเดือนละ 8,611 บาท โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายบางส่วนที่รัฐสนับสนุนในการรักษาสุขภาพ ขณะที่มีสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพียง 23% หรือเท่ากับ 8,730 คน เท่านั้นที่ได้รับเงินมากกว่า 3.1 ล้านบาท ณ วันเกษียณ (ณ เดือนมิ.ย.2565)
ถามว่าการอออมภาคบังคับกับ กบช.นั้นดีอย่างไร
กบช.จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ความเพียงพอในการมีเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ โดยสาระสำคัญในร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ. กบช.) กำหนดให้ลูกจ้างทุกคนที่มีอายุ 15-60 ปี ต้องส่งเงินเข้ากองทุนร่วมกับนายจ้างในอัตราขั้นต่ำฝ่ายละ 3% ของค่าจ้าง และจะทยอยปรับเพิ่มอัตราขั้นต่ำเป็น 10% ในระยะเวลา 10 ปี เพื่อให้ลูกจ้างและนายจ้างมีระยะเวลาปรับตัว ซึ่งในระยะแรกจะใช้บังคับกับนายจ้างขนาดใหญ่ที่มีจำนวนลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป และลูกจ้างของนายจ้างนั้น ให้เข้าสู่การออมภาคบังคับเมื่อพ้น 365 วันนับจากวันที่ พ.ร.บ. กบช. มีผลใช้บังคับ
สำหรับสมาชิกที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน ให้นายจ้างจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนโดยที่สมาชิกสามารถเลือกได้ว่าจะส่งเงินสะสมหรือไม่ก็ได้ นอกจากนี้ ยังได้มีการกำหนดเพดานค่าจ้างที่นำมาใช้ในการคำนวณจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องนำส่งเข้ากองทุนไว้ที่ 60,000 บาทด้วย
ทั้งนี้ เงินที่สมาชิกและนายจ้างนำส่งเข้ากองทุนจะได้รับการบริหารจัดการให้งอกเงยโดยบริษัทจัดการที่คณะกรรมการ กบช. คัดเลือก จะนำเงินไปลงทุนตามนโยบายการลงทุนที่สมาชิกได้เลือกไว้จากทางเลือกที่คณะกรรมการ กบช. กำหนด แต่หากสมาชิกไม่เลือกนโยบายการลงทุน กองทุนจะกำหนดนโยบายการลงทุนให้อัตโนมัติ โดยจะนำเงินไปลงทุนในนโยบายสมดุลตามอายุ ซึ่งเป็นนโยบายการลงทุนที่มีการจัดสรรเงินลงทุนให้สอดคล้องกับช่วงอายุของสมาชิก เมื่อสมาชิกเข้าสู่วัยเกษียณ ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป สามารถขอรับเงินบำเหน็จที่ตนและนายจ้างนำส่งเข้ากองทุนได้ทั้งจำนวน หรือจะขอรับเป็นเงินบำนาญเป็นระยะเวลา 20 ปีก็ได้
ขณะที่สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอาจมีคำถามว่า เมื่อมี กบช.แล้ว กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะเป็นอย่างไรต่อไป และนายจ้างที่จัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วจะต้องย้ายเงินไปที่ กบช. หรือไม่ ขอให้ข้อมูลว่า กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะยังคงเป็นเครื่องมือการออมภาคสมัครใจได้เช่นเดิม และจะมีการปรับปรุงกฎหมายรองรับให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการออมภาคบังคับได้ด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากในการย้ายเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไป กบช.
ส่วนการแก้ไขกฎหมายเพื่อเตรียมพร้อมรองรับ กบช.นั้น ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อยู่ระหว่างเสนอปรับปรุง พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้สามารถเป็นกลไกการออมและการลงทุนแก่ประชาชนวัยแรงงานในระบบเพื่อรองรับการเกษียณ และจะเสนอแก้ไข พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพอีกครั้ง เพื่อรองรับการออมภาคบังคับตามร่าง พ.ร.บ. กบช. เมื่อร่าง พ.ร.บ. กบช. ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแล้ว
ทั้งนี้ ระหว่างการแก้ไข พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อรองรับการออมภาคบังคับ สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปัจจุบันและลูกจ้างที่เข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก่อนวันที่ พ.ร.บ. กบช. ใช้บังคับ จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้าเป็นสมาชิก กบช. และเมื่อ พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อรองรับการออมภาคบังคับมีผลใช้บังคับ กองทุนจะต้องมาจดทะเบียนแก้ไขข้อบังคับกับ ก.ล.ต. เพื่อแปลงสภาพจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคสมัครใจให้เป็น Qualified PVD ภายใน 150 วันนับแต่วันที่ พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่แก้ไขมีผลใช้บังคับ