24 พฤศจิกายน 2559 : นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินตลาดหุ้นไทยใน จากรายงานการประชุม FOMC เมื่อ 1-2 พ.ย. ระบุเศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวดี Fed พร้อมที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ตัวเลขคำสั่งซื้อสินค้าคงทน ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดหนุนตลาดหุ้น ค่าเงินดอลล่าร์
ด้านนโยบายเศรฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายทรัมป์ มีท่าทีที่โอนอ่อนต่อภาวะโลกร้อน และอาจเปลี่ยนแปลงความคิดที่จะออกจากความตกลงปารีส (Paris Agreement) หากเป็นเช่นนั้นจริง คือปล่อยให้เป็นไปตามสภาพเดิม จะลดความเป็นบวกต่อราคาถ่านหินในตลาดโลกลง เพราะก่อนหน้ามีการเล่นข่าวว่าสหรัฐฯจะใช้พลังงานทดแทนน้อยลง (ใช้ถ่านหินเพื่อผลิตไฟฟ้ามากขึ้น)
ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI อ่อนตัวลงเล็กน้อย คืนที่ผ่านมา ตัวเลข stock น้ำมันดิบสหรัฐฯลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล แต่นักลงทุนกำลังรอผลการประชุม เราประเมินจากข่าวที่ออกมาในช่วงคืนที่ผ่านมา โอกาสที่การประชุมจะบรรลุในจำนวนการลดกำลังการผลิตลง (OPEC+ผู้ผลิตรายอื่น) มีค่อนข้างมาก เราคาดว่า น่าจะอยู่ในช่วง 0.7-1.0 ล้านบาร์เรล/วัน ราคาหุ้นกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันและโรงกลั่นน้ำมัน จะเป็นบวกจากเรื่องดังกล่าว (ถ้าลดกำลังการผลิตตามที่เราคาด)
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ตลาดยังให้น้ำหนักกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งจะหนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง และผลประกอบการบริษัทในตลาดได้อานิสงค์จากการนี้ด้วย
จะเห็นได้ว่า หุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคาดการณ์ผลบวกจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและมาตรการภาครัฐ ดังนั้นทิศทางตลาดหุ้นไทย คาดจะยังเดินหน้าต่อได้ เพราะตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากต่างประเทศและของเราเอง แต่การบวกของดัชนีฯ อาจยังมีข้อจำกัดจากแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศที่ยังมีอยู่
“กลยุทธ์ลงทุนวันนี้ ตลาดยังมีแนวโน้มบวก บล.KTBST ยังแนะนำเก็งกำไรช่วงสั้นๆ หุ้นกลุ่มเด่นๆ เป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ กลุ่มส่งออกบางตัว และหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามาก (โดยปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน หรือกำลังจะดีขึ้น) สำหรับการเข้าเก็งกำไรช่วงสั้น หุ้นที่แนะนำ KTB , COM7 , UV , BCH