23 พฤศจิกายน 2559 : เมืองไทยประกันชีวิต ส่งผลิตภัณฑ์โค้งสุดท้ายปลายปีเพื่อการลดหย่อนภาษี ตอบโจทย์สำหรับผู้ต้องการออมเงินระยะยาวและช่วยการวางแผนลดหย่อนภาษีได้ ย้ำต้องเตรียมพร้อมวางแผนเกษียณเพื่อสร้างรายได้ที่แน่นอนรองรับสังคมผู้สูงอายุ
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ด้วยสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่มีความผันผวนและอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้ผู้บริโภคเริ่มมองหาช่องทางการลงทุนรูปแบบใหม่ๆ ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น ตามระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนสามารถยอมรับได้ เพื่อตอบโจทย์การออมระยะยาว และสามารถใช้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีได้อย่างเต็มที่
ล่าสุดเมืองไทยประกันชีวิต ได้ขยายระยะเวลาเสนอขาย “เมืองไทย ยูแอล 1 สินเพิ่มทรัพย์ ในโครงการ Beyond Savings 1″ ที่เปิดโอกาสลงทุนพร้อมคุ้มครองชีวิตสูง โดยที่เงินต้นไม่หายเมื่อถือกรมธรรม์จนครบสัญญา อีกทั้งรองรับการลดหย่อนภาษี ซึ่งแบบประกันชีวิตนี้เป็นแบบชำระเบี้ยครั้งเดียว (Single Premium) แต่ให้ความคุ้มครองชีวิตสูงถึง 130% ของเบี้ยประกันภัยชำระครั้งเดียว หรือ 130% ของมูลค่าการลงทุน ณ ขณะนั้น (แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่ากัน) ตลอด 10 ปีของสัญญากรมธรรม์ มีจุดเด่นที่เปิดโอกาสให้ผู้เอาประกันสามารถได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
โดยจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นสัดส่วนไม่เกิน 10% ส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือและให้ผลตอบแทนดีในระยะยาว ซึ่งจะเป็นส่วนที่สร้างผลตอบแทนให้อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญสามารถลดหย่อนภาษีได้ตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร
หากผู้เอาประกันมีชีวิตอยู่จนครบสัญญากรมธรรม์ในสิ้นปีที่ 10 จะได้รับเงินครบสัญญาเท่ากับมูลค่าการลงทุน ณ เวลานั้น หรือรับ 115% ของเบี้ยประกันภัยชำระครั้งเดียว (แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่ากัน) ผู้เอาประกันจึงอุ่นใจได้มากยิ่งขึ้นเพราะกรมธรรม์จะรับรองผลตอบแทนขั้นต่ำ
นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนเพื่อลดหย่อนภาษีแบบได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน พร้อมการออมเงินสม่ำเสมอ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่คุ้มค่าอีกผลิตภัณฑ์หนึ่ง ได้แก่ เมืองไทยสมาร์ท เซฟวิ่ง 10/6 เหมาะกับวัยทำงานที่ต้องการวางแผนเงินออม และต้องการรับผลตอบแทนที่แน่นอน โดยมีเงินจ่ายคืนทุกปี รวมผลประโยชน์ตลอดสัญญาสูงถึง 700% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันเริ่มสัญญา ในขณะเดียวกันก็ได้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วย
โดยแบบประกันนี้เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาเครื่องมือทางการเงินเพื่อเก็บออมระยะยาว พร้อมรับผลตอบแทนที่แน่นอน ขณะเดียวกันก็ยังได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีควบคู่กันไปด้วย จึงนับเป็นทางเลือกการบริหารเงินที่คุ้มค่า ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้หลากหลายและตรงจุดทุกการวางแผนเรื่องการเงิน
ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติ สรุปว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ตั้งแต่ปี 2548 โดยมีประชากรผู้สูงอายุ ร้อยละ 10.4 ของประชากรทั้งประเทศและคาดว่าจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ในช่วงปี 2567-2568 โดยคาดว่าจะมีผู้สูงอายุ 14 ล้านกว่าคนหรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด พูดให้เข้าใจกันง่ายๆ คือ มีผู้สูงอายุ 1 คน ในประชากรทุกๆ 5 คน โดยข้อมูลจากธุรกิจประกันชีวิตปี 2557 ประชากรไทยที่มีอยู่ 62 ล้านคน มีคนที่อยู่ในวัยเกษียณอายุ ( อายุ 60 ปีขึ้นไป ) 8 ล้านคนในจำนวนนี้มีเพียงไม่ถึง 10% หรือ 800,000 คน ที่มีชีวิตความเป็นอยู่ในวัยเกษียณแบบค่อนข้างสบาย ขณะที่ผู้สูงอายุที่เหลือมีชีวิตความเป็นอยู่ต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งหลายคนยังต้องทำงานเพื่อยังชีพ และขณะที่หลายคนต้องอาศัยเงินจุนเจือจากรัฐบาล
ดังนั้น คนรุ่นใหม่ที่เข้าใจและพร้อมวางแผนในอนาคตให้มีเงินใช้อย่างพอเพียงและแน่นอน โดยเชื่อมั่นว่า โครงการเมืองไทย รีเทิร์น รีไทร์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเตรียมพร้อมเกษียณ ตลอดจนการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันชีวิต โดยจ่ายเบี้ยสั้นเพียง 5 ปี รับเงินบำนาญสูงถึงปีละ 20% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันเริ่มสัญญา ตั้งแต่วันครบรอบปีกรมธรรม์ที่อายุ 60 ปี ไปจนถึงปีกรมธรรม์อายุครบ 85 ปี นอกจากนี้ยัง รับรองการจ่ายเงินบำนาญ 15 ปีอีกด้วย และใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
“หากเราเริ่มต้นวางแผนทางการเงินเพื่อลดหย่อนภาษีและวางแผนเกษียณเร็วเท่าไร ภาระในการเก็บออมก็จะยิ่งลดน้อยลง ผลตอบแทนและเงินที่ออมผ่านการประกันชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้น โดยในท้ายที่สุดสามารถบรรลุทุกเป้าหมายความสุขวัยเกษียณ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางที่ เมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญมาตลอด” นายสาระกล่าว
หมายเหตุ * เงื่อนไขและข้อยกเว้นเป็นไปตามที่ระบุในกรมธรรม์
* การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน