12 กันยายน 2565 : เมื่อ “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ประกาศกร้าวไปเมื่อไม่นาน ว่าจะต้องดึงตัวเลขเงินเฟ้อลงแตะเป้าหมายที่ระดับ 2% ให้ได้ และเครื่องมือดอกเบี้ยคืออาวุธหลักในการต่อสู้ครั้งนี้ ด้วยการทยอยขึ้นดอกเบี้ย โดยไม่สนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะถดถอย จะฉุดตลาดหุ้นร่วงลงอย่างไร ยังไงดอกเบี้ยระยะถัดไปลงแน่แต่ปลายทางจะอยู่ที่เท่าไหร่ก็เกินที่จะคาดเดาได้
กูรูหลายท่านต่างให้เหตุผลของการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เป็นเพราะว่าตัวเลขต่างๆ ที่ออกมาดีขึ้น แม้ดูแล้วยังไม่เหมือนเดิมแต่ก็ติดลบน้อยลง ทำให้เฟดมองไกลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไหว เชกเช่นเดียวกับ "ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ที่ปักหลักคุมเงินเฟ้อปีนี้ให้อยู่หมัด แน่นอนว่าการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 30 พ.ย.2565 มีลุ้นที่กนง.จะปรับดอกเบี้ยเพิ่มอีกครั้ง หลังจากขยับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 0.25% เมื่อรอบการประชุมกนง.ที่ผ่านมา
เมื่อพี่ใหญ่อย่างเฟด การันตีดอกเบี้ยขาขึ้นแบบนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกย่อมตอบสนอง แต่บริบทการขยับดอกเบี้ยของแต่ละประเทศย่อมแตกต่างกันตามภาวะและเหตุผลแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากการประชุมกนง.รอบหน้า คณะกรรมการนโยบายการเงิน เห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ให้ขยับดอกเบี้ยขึ้นคุมเงินเฟ้ออีกครั้ง ลูกค้าสายเงินกู้เตรียมควักเงินในกระเป๋าจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มได้เลย ดังนั้น ลูกค้าสายกู้ทั้งหลาย นอกจากจะรัดเข็มขัดให้แน่นขึ้นกว่าเดิมแล้ว ยังต้องเปลี่ยนวิถีให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้วยเช่นกัน มีเงินแล้วแบ่งออม ออมแล้วแบ่งก็ต่อยอดเงินผ่านการลงทุน
ขณะที่ประธานสมาคมธนาคารไทย "ผยง ศรีวนิช" ย้ำแล้วย้ำอีก ว่า หากกนง.ขยับดอกเบี้ยรอบหน้า ก็จะสะท้อนอัตราดอกเบี้ยกู้ในระบบให้ขยับตามเพิ่มขึ้นตาม เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนทางการเงินแต่ละแบงก์ และมองว่าดอกเบี้ยสินเชื่อรายใหญ่จะถูกปรับขึ้นก่อนเป็นกลุ่มแรก แล้วค่อยทยอยไปยังกลุ่มอื่นที่แข็งแกร่ง ส่วนกลุ่มเปาะบางธนาคารพาณิชย์ยังให้ความสำคัญในการดูแล ดังนั้น การปรับดอกเบี้ยเงินกู้แต่ละกลุ่มของธนาคารจึงไม่เหมือนกัน แต่ในภาวะดังกล่าวจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยตามตลาด เมื่อฟังแบบนี้แล้ว ลูกค้าเงินกู้อาจมีสะเทือนไม่เบา
ด้านการลงทุน ในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น เงินเฟ้อยังทยานสูง รัสเซีย-ยูเครนไม่ลามือ นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ แสดงตวามเห็นว่า ช่วงเวลาหลังจากนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนต้องจับตาทิศทางตลาดให้ดี เนื่องจากตลาดหุ้น ทองคำ และบิทคอยน์ ต่างปรับตัวลงมาใกล้เคียงจุดต่ำสุดของปีนี้ ถ้าหากภายใน 2 เดือนจากนี้ ทั้ง 3 สินทรัพย์ไม่ได้ทำจุดต่ำสุดใหม่ อาจเป็นสัญญาณว่าจุดต่ำสุดของตลาดอาจจะผ่านพ้นไปแล้ว และน่าจะเป็นโอกาสในการทะยอยเข้าสะสมในระยะยาว
สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตา คือ Dollar Index ว่าจะยังทำจุดสูงสุดใหม่ไปได้อีกหรือไม่ โดยแนวต้านต่อไปจะอยู่ที่ระดับ 120 จุด ซึ่งจะมีอัพไซด์จากนี้อีก 10% ถ้าหาก Dollar Index เริ่มไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ หรือ กลับตัวเป็นขาลง ก็ถือว่าเป็นปัจจัยบวก นอกจากนี้ยังต้องจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ถ้าหากปรับตัวลงต่อเนื่องก็จะเป็นสัญญาณบวก เพราะเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมมีการปรับตัวลงมาจากเดือนมิถุนายนแล้ว
"ถ้าหากตลาดกลับมาเป็นขาขึ้น แต่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ก็คือ “ทองคำ” จากการที่เป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกนิยมถือ เพื่อเอาชนะเงินเฟ้อและยังไม่ได้รับผลกระทบจาก Recession เช่นเดียวกัน “บิทคอยน์” ถือเป็นอีกสินทรัพย์ที่น่าสนใจ เพราะแนวโน้มราคาอาจจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งจากการที่เป็นสินทรัพย์ที่มีภาวะเงินฝืด ประกอบกับวงจรของราคาอาจจะกลับมาใกล้รอบขาขึ้นใหม่อีกครั้งก่อนจะเกิด Bitcoin Halving ส่วนตลาดหุ้นที่น่าจับตา คือตลาดหุ้นจีน" นายณพวีร์ กล่าว