8 พฤศจิกายน 2559 : นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า สิ้นไตรมาสที่ 3 (มกราคม-กันยายน) ปี 2559 ธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมทั้งสิ้น 414,387 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.01 โดยแยกเป็นเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่จำนวน 119,272 ล้านบาท และเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไปจำนวน 295,115 ล้านบาท อัตราความคงอยู่ร้อยละ 83
สำหรับเบี้ยประกันชีวิตแยกตามช่องทางการจำหน่าย ในไตรมาสที่ 3 ปี 2559 ช่องทางตัวแทนประกันชีวิตขึ้นครองอันดับ 1 ด้วยสัดส่วนร้อยละ 48.51 ของเบี้ยประกันชีวิตรับรวม รายละเอียดดังนี้
อันดับ 1 การขายผ่านตัวแทนประกันชีวิต จำนวน 201,040 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 48.51 หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 4.26 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันดับ 2 การขายผ่านธนาคาร จำนวน 187,358 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 45.21 หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 9.05 อันดับ 3 การขายผ่านช่องทางการตลาดแบบตรง 11,121 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 2.68 หรือเติบโตลดลงร้อยละ 4.92 และอันดับ 4 การขายผ่านช่องทางอื่นๆ 14,868 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 3.59 หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 1.99
นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงไตรมาสสุดท้าย ปี 2559 สมาคมคาดว่าเบี้ยประกันชีวิตจะยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะเป็นอัตราการเติบโตที่ไม่ก้าวกระโดดก็ตาม โดยมีอัตราการเติบโตสิ้นปีอยู่ที่ประมาณร้อยละ 9 เบี้ยประกันภัยรับรวมประมาณ 585,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ทั้งนี้ การซื้อประกันชีวิตก็เป็นหนึ่งในช่องทางที่ทำให้ผู้เสียภาษีมีสิทธิได้รับการหักลดหย่อนภาษี รวมทั้งสร้างความมั่นคงให้แก่ตนเองและครอบครัวได้อีกด้วย โดยกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีกำหนดอายุสัญญาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถนำเบี้ยประกันภัยไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรได้สูงสุดถึง 100,000 บาท และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำบาญ สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 200,000 บาท แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในปีนั้น
อย่างไรก็ดี ประกันชีวิตแบบบำนาญนี้เมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือเงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด