18 เมษายน 2565 : นางวรางค์ ไชยวรรณ กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (Thai Life Insurance : TLI) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน มุ่งสู่การเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต การประกันสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล หรือ Life Solutions Provider โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนางานในทุกด้าน ทั้งการสร้างนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และบริการ การสร้างความมั่นคงทางการเงิน การบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบรัดกุม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เอาประกันภัยของบริษัทที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 4,500,000 ราย
การให้ความสำคัญด้านความมั่นคงทางการเงิน และการบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบรัดกุม ส่งผลให้สถาบันจัดอันดับเครดิตทางการเงินระดับโลก ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ประกาศคงอันดับเครดิตความแข็งแกร่งทางการเงินสำหรับไทยประกันชีวิต โดยมีอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศที่ ‘AAA(tha)’ มุมมองมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นอันดับเครดิตในระดับประเทศที่สูงที่สุด และอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลที่ ‘A-’ หรืออยู่ในระดับแข็งแกร่ง
ฟิทช์ฯ ประเมินโครงสร้างการดำเนินงานของบริษัทฯ อยู่ในระดับแข็งแรง ซึ่งเป็นผลจากโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง และการมีบรรษัทภิบาลดี เมื่อเทียบกับบริษัทประกันชีวิตอื่นภายในประเทศไทย บริษัทฯ มีเครือข่ายธุรกิจในประเทศที่มีขนาดใหญ่ และมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับที่ 2 ในประเทศไทยในด้านเบี้ยประกันชีวิตรวม ณ 31 ธันวาคม 2564 ตลอดจนบริษัทฯ ยังมีผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่มีความหลากหลาย และช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง ผ่านเครือข่ายตัวแทนประกันชีวิต ธนาคารพาณิชย์ และพันธมิตรธุรกิจที่หลากหลาย
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงไว้ตามกฎหมายอยู่ที่ 343% ณ 30 กันยายน 2564 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จะเข้ามาดูแลคือ 120% ขณะที่การประเมินด้วย Fitch Prism Model (FBM) ของฟิทช์ฯ จากข้อมูลการเงิน ณ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทฯ มีฐานะเงินกองทุนอยู่ในระดับแข็งแกร่งมาก
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ คาดว่าจะอยู่ในระดับแข็งแกร่ง ถึงแม้สภาวะเศรษฐกิจจะมีความท้าทาย บริษัทฯ มีอัตราส่วนกำไรสุทธิเฉลี่ย 3 ปี ในช่วงปี 2562 – 2564 อยู่ที่ประมาณ 7.03% ซึ่งสูงกว่าระดับคาดการณ์ของฟิทช์ฯ โดยรายได้ของบริษัทฯ ได้รับปัจจัยบวกจากการขายผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงนัก และอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นจากกลยุทธ์ทบทวนและปรับราคาเบี้ยประกัน รวมถึงนโยบายการประหยัดและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563
ขณะเดียวกันอัตราส่วนสินทรัพย์เสี่ยงต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ รวมถึงการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล อย่างไรก็ตามสัดส่วนการลงทุนของบริษัทฯ ส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องดีในมุมมองของฟิทช์ฯ โดยมีตราสารหนี้และเงินฝากอยู่ที่ระดับ 80% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมดของบริษัท ณ 31 ธันวาคม 2564
นางวรางค์กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งเน้นการขยายตลาดผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิต ซึ่งปัจจุบันมีอยู่กว่า 63,000 ราย คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 25% ของจำนวนตัวแทนประกันชีวิตทั้งหมดในประเทศไทย นอกจากนี้บริษัทยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายด้านอื่นที่แข็งแกร่ง ได้แก่ E-Commerce, Bancassurance, Telesale, Partnership ซึ่งนับได้ว่าเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายมากที่สุด บริษัทมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่จะตอบสนองความต้องการของผู้เอาประกันภัยแบบเฉพาะบุคคล (Personalization) ในทุกช่วงของชีวิต (Life Stage) ทุกจังหวะชีวิต (Life Event) และทุกการใช้ชีวิต (Lifestyle)
“การเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี รวมถึงพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และเพื่อรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนางานในทุกด้าน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เอาประกันภัยอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการมุ่งสร้างความมั่นคงทางการเงิน เพื่อให้สามารถจ่ายผลประโยชน์แก่ผู้เอาประกันภัยตามสัญญากรมธรรม์ สร้างความเชื่อมั่นในฐานะบริษัทประกันชีวิตที่มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง พร้อมเคียงข้างดูแลชีวิตคนไทยในทุกสถานการณ์” นางวรางค์กล่าว