22 กุมภาพันธ์ 2565 : ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ปัญหาภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงและบ่อยครั้งทั่วโลก กระทบต่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน บั่นทอนการพัฒนาทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานของทุกภาคส่วน
โดย The Economist Intelligence Unit (EIU) หน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจชั้นนำของโลก คาดการณ์ว่า ภายในปี 2593 ภาวะโลกร้อนจะเพิ่มต้นทุนทางเศรษฐกิจโดยตรงต่อโลกถึง 7.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ผ่านมาจึงเกิดความพยายามที่จะบูรณาการความร่วมมือกันทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ มีการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก อาทิ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ได้บรรลุข้อตกลงเพื่อควบคุมปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลักดันการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
ซึ่งประเทศไทยกำหนดเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) ภายในปี 2608 ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ โดยมีกลไกการทำงานที่เรียกว่า กลไกการปรับคาร์บอนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) กำหนดหลักการลดความได้เปรียบด้านต้นทุนของสินค้านำเข้าจากประเทศนอก EU
ขณะที่สหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ อยู่ระหว่างการพิจารณาออกมาตรการที่มีแนวทางการเรียกเก็บภาษีนำเข้าตามการปล่อยคาร์บอน มาตรการเหล่านี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจและ Supply Chain ของระบบเศรษฐกิจโลก ทำให้ผู้ส่งออกของแต่ละประเทศ รวมถึงผู้ส่งออกไทย ต้องเร่งปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชย
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า EXIM BANK จึงดำเนินธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลที่ดีและการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สู่เป้าหมายการเป็นธนาคารที่รับผิดชอบและยั่งยืน โดยดำเนินภารกิจ “ซ่อม สร้าง เสริม และสานพลัง” การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในปัจจุบันซึ่งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว การเร่งสร้างอุตสาหกรรมสู่อนาคตจึงดำเนินไปเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว นั่นคือ การเปลี่ยน “แรงกดดันของปัญหาและมาตรฐานใหม่ด้านสิ่งแวดล้อม” เป็น “โอกาสทางธุรกิจ” ที่จะเติบโตไปด้วยกันกับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
EXIM BANK จึงได้กำหนดและดำเนินนโยบายด้านการบริหารจัดการการเงินอย่างมีความรับผิดชอบ มุ่งสนับสนุนธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากความท้าทายในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่ดี (Environmental, Social, Governance : ESG) และธุรกิจที่มุ่งให้เกิดผลตอบแทนทางการเงิน ควบคู่กับผลตอบแทนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม อาทิ ธุรกิจสีเขียว และพลังงานทดแทน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา EXIM BANK สนับสนุนทางการเงินให้แก่ธุรกิจพลังงานทดแทนมากกว่า 194 โครงการ กำลังการผลิต 6,455 MW โดยเป็นการสนับสนุนทางการเงินรวม 57,392 ล้านบาท สร้างมูลค่าการลงทุน 373,572 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบัน EXIM BANK มีสัดส่วนการสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจสีเขียวประมาณ 1 ใน 3 ของยอดคงค้างสินเชื่อโดยรวม
EXIM BANK ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวตามหลัก ESG และมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ “สินเชื่อ EXIM Biz Transformation Loan” สนับสนุนการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 2% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลาผ่อนสูงสุด 7 ปี และ “สินเชื่อ Solar Orchestra Loan”
โดยความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK กับองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) บริษัท ผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วม จำกัด และบริษัท นีโอ คลีน เอนเนอร์ยี่ จำกัด เพื่อสนับสนุนการลงทุนติดตั้
ที่ผ่านมา EXIM BANK ยังมีส่วนริเริ่มและผลักดันให้เกิดความร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชน โดยการเข้าเป็นสมาชิกก่อตั้งและกรรมการในองค์กรต่างๆ ที่มีวัตถุประสงค์การจัดตั้งเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและการลงทุนในธุรกิจสีเขียว อาทิ Thailand Carbon Neutral Network, Carbon Market Club และ RE100 Thailand Club ซึ่งอยู่ระหว่างพัฒนาจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตของไทยเพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจไทยบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Net Zero) รวมทั้งอยู่ระหว่างการพัฒนากลไกความร่วมมือเพื่อสนับสนุนทางการเงินให้แก่ธุรกิจที่มีส่วนลดหรือแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน